ยิ่งการสำแดงออกซึ่ง “พลังดูด” ก่อปฏิกิริยา สร้างความไม่พอใจในทางการเมืองมากเพียงใด ยิ่งมีความจำเป็นต้องทำให้กรณีการใช้ “พลังดูด” เป็นเรื่องอึกทึก ครึกโครม
นี่เป็นแผนทาง “การตลาด” ที่กำหนดไว้แล้ว
ในเมื่อคนที่มีบทบาทเป็นอย่างสูงในการใช้ “พลังดูด” เป็นนักการตลาดระดับศิษย์รักของ ฟิลิป คอตเลอร์ มีหรือที่จะลงมือทำอย่างเงียบๆ
หากต้องการให้เงียบทำไมต้องใช้ “ทำเนียบรัฐบาล”
หากต้องการให้เงียบทำไมต้องเปิดตัวกลางรีสอร์ตดัง จังหวัดเลย ทำไมต้องเลี้ยงสังสรรค์ ณ สนามกอล์ฟดัง จังหวัดปทุมธานี
ตรงนี้แหละที่ต้องเรียนรู้ ต้องทำความเข้าใจ
ถามว่าใครคือคนวางแผนในเรื่อง “พลังดูด” คำตอบไม่จำเป็นต้องระบุอย่างชนิดเจาะจง เพราะภายในสิ่งที่เรียกว่า “สามมิตร” นั้น
มิได้หมายถึง “ซัมมิต” ของ “จึงรุ่งเรืองกิจ” อย่างเดียว
ตรงกันข้าม อย่างน้อย 1 ส. ก็คือ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และ 1 ส. ก็คือ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน และแน่นอนอีก 1 ส. ย่อมมิใช่เจ้าของบ้าน “ริมน้ำ” ที่เคยเป็นข่าวก่อนหน้านี้
จะเข้าใจว่าอีก 1 ส.ที่เหลือเป็นใครต้องมองเข้าไปยัง “ทำเนียบรัฐบาล”
ถามว่าก่อนได้รับตำแหน่งเป็นรองผู้ว่าฯ กทม. นายสกลธี ภัททิยกุล พร้อมกับเพื่อนอดีตส.ส.จากพรรคประชาธิปัตย์เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลไปพบใคร
คำตอบเด่นชัดอย่างยิ่งจาก “พรรคประชาธิปัตย์”
มีความจำเป็นต้องใช้ “ทำเนียบรัฐบาล” เป็นกองบัญชาการใหญ่ในการสำแดงพลานุภาพแห่ง “พลังดูด” เพราะสัมพันธ์กับ “ประชารัฐ”
อย่าลืมว่า “ประชารัฐ” มีจุดเริ่มต้นที่ “ทำเนียบรัฐบาล”
อย่าลืมว่า แรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ในการก่อรูปขึ้นของ “พรรคพลังประชารัฐ” มีพื้นฐานมาจากคำว่า “ประชารัฐ” และ “ไทยยั่งยืน” อันเป็นมติของครม.
แล้ว “ครม.” ดำรงอยู่ที่ไหนหากมิใช่ “ทำเนียบรัฐบาล”
แล้วการเติบใหญ่ของ “พรรคประชารัฐ” จะขยับขับเคลื่อนไปอย่างไรหากมิได้พลานุภาพทั้งในและนอกกระบวนการ
หากมิใช่ “พลังดูด” แล้ว “พรรคประชารัฐ” จะแจ้งเกิดได้อย่างไร
ตรงนี้แหละคือเงาสะท้อนอันสำแดงให้ประจักษ์ต่อความล้ำเลิศของ “กูรู” ทางด้าน “การตลาด” ที่แม้กระทั่งระดับ ฟิลิป คอตเลอร์ ก็มิอาจเทียมเทียบ
ความสำเร็จของ “พรรคประชารัฐ” จึงเห็นและสัมผัสได้
สัมผัสได้จากการวางแผน “การตลาด” และการลงมืออย่างเอาการเอางานผ่านกระบวนการ “สามมิตร” อันมากด้วยความจัดเจน
ทำให้ “พลังดูด” เป็นนามแห่ง “พลังประชารัฐ”