อาการป่วยอย่างกะทันหันของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ระหว่างร่วมประชุมครม.สัญจรที่จังหวัดอุบลราชธานี อาจเป็นเรื่องธรรมดาอย่างปกติยิ่งของสังขาร
โดยเฉพาะสังขารของคนในวัย 72
บรรทัดฐานโดยทั่วไปของทางราชการถือเอาอายุ 60 เป็นเกณฑ์ที่จะต้อง “เกษียณ” จำเป็นต้องหยุดพัก กลายเป็นบุคคลประเภท “นอกราชการ”
ไม่ว่าจะเป็น “ปลัดกระทรวง” ไม่ว่าจะเป็น “อธิบดี”
จากบรรทัดฐานนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อาจพ้นวัยเกษียณมาแล้วถึง 12 ปี แต่ก็ยังต้องอยู่ในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
เหน็ดเหนื่อยและตรากตรำเป็นอย่างยิ่ง
หากดูจากพื้นฐานที่ครม.สัญจรไปยัง อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ยโสธร นี่ย่อมเป็นพื้นที่ที่ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เคยจาริกเพื่อแสวงหาความหลุดพ้นอย่างต่อเนื่อง
เนื่องจากอุบลราชธานีเป็นบ้านเกิดของท่าน
ยิ่งกว่านั้น ศิษย์อีกรุ่นคือ พระอาจารย์ชา สุภัทโท ก็เป็นคนอุบลราชธานี ได้วางหลักปักฐานการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างมั่นคงอยู่ที่วัดหนองป่าพง วารินชำราบ
มีชื่อเสียงระดับโลก มีฝรั่งมังค่ามาบวชคึกคัก
คำสอนหนึ่งซึ่งติดปากของ พระอาจารย์ชา สุภัทโท คือ คำว่า “ไม่แน่” อันท่านแปลมาจากคำว่า “อนิจจัง”
นี่ย่อมเป็น “อนุสติ” อย่างทรงความหมายยิ่ง
สภาพที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประสบเหมือนกับเป็นสัญญาณ เป็นการเตือนให้ระมัดระวังอย่างเป็นพิเศษต่ออาหารการกิน
คนในวัย 72 สังขารย่อมเสื่อมเป็นธรรมดา
บางอย่างที่เคยขบเคี้ยวได้อย่างเอมโอช เมื่อล่วงพ้นจากวัย 60 มาแล้วถึง 12 ปี ก็อาจเป็นของแสลง อาจเป็นของแปลก
ร่างกายอาจปฏิเสธ และอาจกลายเป็นปฏิกิริยา
ยิ่งตรวจสอบองค์ประกอบของครม.และของคสช. ยิ่งชวนให้ตระหนักว่าสภาวะ “ไม่แน่” ที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประสบอาจกระทบกับคนอื่นก็ได้
เปราะบางเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าสังขาร ไม่ว่าจิตใจ
กระนั้น หากมองผ่านอากัปกิริยาของหลายท่านที่ผาดโผนไม่ว่าในบทบาทของคสช. ไม่ว่าในบทบาทของรัฐบาล กลับไม่มีแววอะไรเลยบ่งบอก
บ่งบอกว่าได้ตระหนักรู้ในเรื่องของสังขาร จิตใจ
บางคนยังมีความมุ่งมั่นที่จะต่อท่อแห่ง “อำนาจ” ทางการเมืองและทางการทหารของตนให้ยาวนานออกไปอีกตามยุทธศาสตร์ 20 ปี
ดูเหมือนไม่มีใครคิดปล่อย คิดวางเลย