ไม่ว่าใครจะมองและประเมินการถอยออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทยของ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ด้วยสายตาอย่างไรในทางการเมือง
แต่ก็ต้องยอมรับว่า นี่คือการสะท้อน “ความเฉลียว” ของ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์
หากมองรายชื่อคณะกรรมการบริหารพรรคก็จะมองออกได้ไม่ยากว่า นี่คือทีมของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อย่างเด่นชัด
ส่งผ่านไปทาง นายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง
ไม่ว่า ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ไม่ว่า นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ จะนั่งอยู่ในสถานะของหัวหน้าพรรคแต่ก็เป็นเสมือน “หัวโขน” ที่ได้มา
นั่นคือ ได้มาจาก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
ยอมรับหรือไม่ว่าตั้งแต่ก่อนเปิดตัวพรรครวมพลังประชาชาติไทยเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน จนถึงวันประชุมเลือกกรรมการบริหารพรรคชั่วคราวในวันที่ 5 สิงหาคม
ทุกอย่างเป็น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ปั้นมากับมือ
อย่างแรกสุดก็คือ ข่าวสารอันเกี่ยวกับพรรครวมพลังประชาชาติไทยล้วนออกมาจาก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊กไลฟ์หรือการแถลงข่าว
นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เสมอเป็นเพียง “พระอันดับ”
ยิ่งเมื่อ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ หลั่งน้ำตาประกาศ “ตระบัดสัตย์” เข้ามาเป็นผู้สร้างพรรครวมพลังประชาชาติไทยให้เป็นของ “มวลมหาประชาชน” ยิ่งเด่นชัด
เด่นชัดว่า “น้ำยาบ้วนปาก” ขายดีอย่างยิ่ง
กล่าวสำหรับ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล แม้จะเคยเป็นปลัดกระทรวงการคลัง แม้จะเคยเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ก็ไม่เคยร่วมพรรคการเมืองมาก่อน
แต่ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ไม่ใช่
อย่างน้อยตอนอยู่จุฬาฯ เขาก็เคยเป็นสมาชิกพรรคจุฬาประชาชน ต่อมาก็เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์และเคยเป็นกระทั่งหัวหน้าพรรคมหาชน
บทเรียนจากพรรคมหาชนนั่นแหละสำคัญ
เพราะแม้ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ จะได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าพรรคมหาชน แต่สังคมก็รับรู้ว่าเป็นของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ต่างหาก
แล้วพรรครวมพลังประชาชาติไทยจะต่างออกไปหรือ
หากนับแต่ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ได้เข้ามาผาดโผนในยุทธจักรทางการเมือง การตัดสินใจครั้งนี้จึงสำคัญและทรงความหมาย
แสดงว่า นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ตกผลึกในทางความคิด
เขาไม่เพ้อฝันเหมือนเมื่อตอนลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์แล้วมาจัดตั้งพรรคมหาชนร่วมกับ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์
เมื่อไม่เพ้อฝันก็แสดงว่ายังมี “ความใฝ่ฝัน” ดำรงอยู่