การเล่นเกมเสนอแก้ไขพ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งโดยพุ่งปลายหอกไปยัง “ผู้ตรวจการเลือกตั้ง” ของสนช.ครั้งนี้ไม่ซับซ้อน
ระบุตรงๆ ออกมาเลยว่าต้องการ “ยื้อ”
เพียง 36 สนช.ขยับชาวบ้านก็อ่านออกว่า ต้องการ “เลื่อน” โรดแม็ปการเลือกตั้งจากที่เคยกำหนดว่าภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ออกไป
ว่ากันว่าทำแต้มได้ประมาณ 9 เดือน
จากเดือนกุมภาพันธ์ก็อาจมิใช่ภายในเดือนพฤษภาคมอย่างที่เผื่อเอาไว้ แต่ทำท่าว่าจะกลายเป็นภายในเดือนพฤศจิกายน 2562
คิดหรือว่า “แผนสมคบคิด” นี้จะได้ “รางวัล”
ผลสะท้อนที่รับรู้ร่วมกันโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นข้อสังเกตจากภายในกกต. ไม่ว่าจะเป็นข้อสังเกตจากบางพรรคการเมือง
อ่าน “ไต๋” ของสนช.ได้ทะลุปรุโปร่ง
แม้จะอ้างว่ากระทำในนามของความรอบคอบ แม้จะอ้างว่ากระทำเพื่อรักษามารยาทควรให้เป็นเรื่องของกกต.ชุดใหม่
แต่กลิ่นที่โชยมากลับเป็น “ขี้ฟัน”
เป็นขี้ฟันอันเหลืองเขลอะ แม้จะสามารถยื้อเวลาเลือกตั้งให้เนิ่นยาวออกไปอีกไม่ต่ำกว่า 9 เดือนแต่ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายในด้านเกียรติภูมิเป็นอย่างสูง
ยิ้มเห็นแก้ม แย้มเห็นไรฟัน หมดสิ้น
บรรดาสนช.อาจคิดและประเมินว่านี่คือผลงานและความสำเร็จที่อย่างน้อยสามารถยื้อ ถ่วง หน่วงโรดแม็ปของการเลือกตั้งออกไปอีก
แต่รู้หรือไม่ว่าใครรับไปเต็มๆ
คำถามที่ตามมาก็คือ สะท้อนให้เห็นว่าคสช.หวาดกลัว ไม่อยากและไม่กล้าเดินหน้าเข้าสู่สนามของการเลือกตั้งอย่างเต็มภาคภูมิ
เพราะรู้อยู่ว่า เลือกตั้งเมื่อใดก็แพ้
ประการสำคัญเป็นอย่างมากก็คือ มิได้แพ้แก่พรรคประชาธิปัตย์ หากทำท่าว่าอาจจะแพ้แก่พรรคเพื่อไทยและรวมถึงพรรคอนาคตใหม่ด้วย
หากไม่กลัวแพ้จะยื้อ ถ่วง หน่วงไปทำไม
จากจุดแห่งความหวาดกลัวของคสช.เช่นนี้จะพลอยลามไปไหม้ถึงประเด็นที่ว่า ตกลงที่คิดว่าสร้างผลงานและความสำเร็จอาจไม่ได้เป็นเรื่องจริง
ที่ว่าเศรษฐกิจฟื้นแล้วก็เสมอเป็นเพียงราคาคุย
ที่ว่าประชาชนให้ความนิยมเป็นอย่างสูงเกือบร้อยละร้อย ก็เสมอเป็นเพียงการสอพลอและตัวเองก็ตระหนักดีว่าไม่ได้เป็นเรื่องจริงแท้อย่างแน่นอน
เพราะหากจริงจะกลัวการเลือกตั้งไปทำไมเล่า