ทำไม “ครม.สัญจร” ที่จังหวัดระนอง ชุมพร ระหว่างวันที่ 21-22 สิงหาคม จึงขาดความคึกคัก หนักแน่นลงไปอย่างเห็นได้ชัด
แม้จะอนุมัติ “โครงการ” ไม่ยิ่งหย่อนกว่าที่จังหวัดอุบลราชธานี
อาจจะเป็นเพราะไม่มีภาพการตั้งแถวต้อนรับของบรรดา “นักการเมือง” ไม่ว่าระดับชาติ ไม่ว่าระดับท้องถิ่น
เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ของ “ประชาธิปัตย์”
ขณะที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แห่งพรรครวมพลังประชาชาติไทย ก็มัวแต่ติดงานใหญ่อันเกี่ยวกับโรงพักและแฟลตตำรวจที่คาราคาซังมาตั้งแต่ปี 2552
ยิ่งกว่านั้น ยังมีชื่อ “ยิ่งลักษณ์” เข้ามาแจมอีกด้วย
สถานการณ์ของ “ครม.สัญจร” ไปยังพื้นที่ภาคใต้มีความแตกต่างไปจากการไปยังพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างแน่นอน
ไม่เพียงเพราะมิได้เป็นพื้นที่ “เป้าหมาย”
หากที่สำคัญเป็นอย่างมากก็คือ พื้นที่นับแต่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ลงไปจนถึงสงขลา นราธิวาส ปัตตานี ยากเป็นอย่างยิ่งที่จะเจาะทะลวง
นี่ย่อมแตกต่างไปจากภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ต้องยอมรับว่าพลานุภาพของ “กลุ่มสามมิตร” ไม่ว่าจะจาก นายสมศักดิ์ เทพสุทิน หรือ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ยังแผ่ไปไม่ครอบคลุม
ยิ่งกว่านั้น “สามมิตรสัญจร” นั่นแหละทำให้งาน “กร่อย”
ภายหลังจากสามารถเปิดปฏิบัติการพลังดูดได้อย่างคึกคักจากจังหวัดเลย จังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดอุบลราชธานี “กลุ่มสามมิตร” มากด้วยความคึกคัก
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เล่นบทเดียวกันกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เปิดปฏิบัติการ “สามมิตรสัญจร” ออกไปพบปะประชาชน ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เป้าหมาย 1 พบผู้สมัคร เป้าหมาย 1 พบประชาชน
เหตุผลของ “กลุ่มสามมิตร” ก็เช่นเดียวกับเหตุผลของคสช.และของรัฐบาล นั่นก็คือ ไปพบเพื่อรับฟังปัญหาของประชาชนเพื่อนำมาเสนอให้คสช.และรัฐบาลแก้ไข
แทนที่จะเป็นผลดีกลับกลายเป็นผลร้าย
กล่าวเฉพาะหน้า “กลุ่มสามมิตร” อาจสามารถดูดอดีตส.ส.แถว 2 แถว 3 ที่เคยอยู่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชนมาได้ เท่ากับเสริม “พลังประชารัฐ”
สร้างความมั่นใจเป็นอย่างสูงในเรื่องสืบทอดอำนาจ
กระนั้น เสียงท้วงติงจากพรรคและกลุ่มการเมืองอื่นๆ ก็ดังอึกทึกกึกก้องเพราะเท่ากับเป็นการเปิดไฟเขียวให้กับ “กลุ่มสามมิตร” แต่ติดล็อกให้กับพรรคและกลุ่มการเมืองอื่น
กลายเป็น “แผนสมคบคิด” อันมาจาก “ทำเนียบรัฐบาล”