กรณี ป.ป.ช.ประกาศเดินหน้าสอบโครงการการก่อสร้างแฟลตตำรวจและโรงพักทดแทนก่อผลสะเทือนอย่างลึกซึ้งถึงพรรครวมพลังประชาชาติไทย
สะท้อนให้เห็นความเป็นจริงของพรรคนี้อย่างเด่นชัด
สะท้อนให้เห็นความเป็นจริงที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ คือ ผู้นำในทางจิตวิญญาณของพรรครวมพลังประชาชาติไทยอย่างมิอาจปัดปฏิเสธได้
ไม่ใช่ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล อย่างแน่นอน
ไม่ใช่ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ และยิ่งไม่ใช่ นายสุริยะใส กตะศิลา หรือแม้กระทั่ง นายประสาร มฤคพิทักษ์
มิเช่นนั้นจะได้ชื่อว่า “พรรคเทพเทือก” หรือ
ในเบื้องต้นที่มีคำประกาศจากป.ป.ช.นักการเมืองโลกสวยบางคนมองว่าน่าจะเป็นการเคลียร์พื้นที่ให้กับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ มากกว่า
แต่ถ้าประเมินจากท่าทีของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
การที่ยุติการกล่าวเชิญชวนประชาชนให้ร่วมเข้าเป็นสมาชิกพรรครวมพลังประชาชาติไทยแต่ใส่อารมณ์อย่างเต็มที่กับกรณีแฟลตตำรวจและโรงพักทดแทน
เด่นชัดอย่างยิ่งว่าคิดอย่างไร
เพราะว่าจากคดีนี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องซึ่งเกิดขึ้นในห้วงที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกรัฐมนตรี หากแต่ยังสัมพันธ์กับการปลด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อีกด้วย
ตรงนี้แหละที่มากด้วยความละเอียดอ่อน
กรณีนี้จึงมิได้เป็นเรื่องของคดีความโดดๆ ตรงกันข้าม ยังสัมพันธ์กับการบริหารจัดการต่อตำแหน่ง ผบ.ตร.ในยุครัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อีกด้วย
ปมเงื่อน 1 อยู่ที่การปลด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ
ปมเงื่อน 1 อยู่ที่ความพยายามที่จะผลักดัน พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ เข้าไปดำรงตำแหน่งเป็น ผบ.ตร.แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ
ทำได้เพียงตำแหน่งรักษาการผบ.ตร.
ตรงนี้เองที่ทำให้กระบวนการเกี่ยวกับโรงพักทดแทนและแฟลตตำรวจแปรเปลี่ยนไปจากยุคของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อันก่อให้เกิดเป็นปัญหา
ความละเอียดอ่อนตรงนี้มีผลสะเทือนอย่างลึกซึ้ง
ผลสะเทือนโดยตรงคือ ต่อ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผลสะเทือนโดยปริยาย 1 คือต่อพรรครวมพลังประชาชาติไทย และ 1 ต่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ทั้งหมดนี้เป็นผลงานในยุคพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล
ไม่ว่าในที่สุดคำวินิจฉัยของป.ป.ช.จะออกมาอย่างไร แต่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพรรครวมพลังประชาชาติไทยได้รับไปแล้วเต็มๆ
เกิดอาการ “เดี้ยง” ทางการเมืองถ้วนหน้า