ยังไม่ทันที่กรณีแฟลตและโรงพักตำรวจจะพ้นไปจากคอของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อกรณีการสลายการชุมนุมเมื่อเดือนตุลาคม 2551 ก็กระหวัดรัดเข้ามาอีก
ผลก็คือ พรรครวมพลังประชาชาติไทย โดนเข้าไปเต็มๆ
เพราะว่าเมื่อคดีแฟลตและโรงพักตำรวจพุ่งตรงเข้าไปยัง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อันอยู่ในสถานะผู้นำจิตวิญญาณในทางการเมือง
มีหรือที่พรรครวมพลังประชาชาติไทยจะหนีได้พ้น
เพราะว่าคดีการสลายการชุมนุมเมื่อเดือนตุลาคม 2551 สัมพันธ์กับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโดยตรง
มีหรือที่แกนนำพรรครวมพลังประชาชาติไทยจะหนีได้พ้น
ต้องยอมรับว่าพรรครวมพลังประชาชาติไทย คือ การสมานระหว่างนักเคลื่อนไหวก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 กับ นักเคลื่อนไหวก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
กรณีแรกนำโดย พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ไม่ว่า นายประสาร มฤคพิทักษ์ ไม่ว่า นายสุริยะใส กตะศิลา ล้วนแสดงบทบาทอย่างโดดเด่นมาแต่คราวนั้นอย่างเต็มที่
กรณีหลังเป็นเรื่องของ “กปปส.”
ลองมองผ่าน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เข้าไปว่า ไม่ว่าจะเป็น นายสุริยะใส กตะศิลา ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่เรียกขานกันว่า “ขุนพลข่าว” ซึ่งนั่งเป็นกรรมการบริหาร ล้วนอยู่ครบครัน
ถามว่ากรณีแฟลตและโรงพักสร้างความเหน็ดเหนื่อยให้แต่กับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งรับผิดชอบในฐานะรองนายกรัฐมนตรีเท่านั้นหรือ
ไม่ใช่หรอก
ยิ่งหากไปดูคลิปวิดีโอว่าด้วย “ผีดิบคืนชีพ” ที่ต้องการกระหน่ำเข้าใส่พรรคการเมืองเก่าทั้งเก่าแก่และเก่าไม่แก่
ก็เข้าข่ายขว้างงูไม่พ้นคอ
การขยับขับเคลื่อนของพรรครวมพลังประชาชาติไทยจึงหนีไม่พ้นจากคดีความของ “ลุงกำนัน” และการนำมวลชนเข้าปิดล้อมกองบัญชาการตำรวจนครบาลเมื่อเดือนตุลาคม 2551
รับไปถ้วนหน้า รับไปอย่างเสมอภาค เท่าเทียมกัน
อย่าได้แปลกใจหากบทบาทของ ม.ร.ว.จตุมงคล โสณกุล จะค่อยๆ จืดจางหายไปเหมือนๆ กับบทบาทของ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์
หนทางเดินไม่ได้เพลินดีอย่างที่คิด
ในเมื่อความโน้มเอียงของ คสช.มิได้วางน้ำหนักอยู่กับพรรครวมพลังประชาชาติไทย หากแต่อยู่ที่พรรคพลังประชารัฐมากกว่า
การอาสาของ “ลุงกำนัน” จึงอาจสูญเปล่า