การเปิดตัวพรรคประชาชาติในวันที่ 1 กันยายน ก่อให้เกิดผลสะเทือนอย่างลึกซึ้งในทางการเมืองแม้จะจำกัดขอบเขตอยู่เพียง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ตาม
เพราะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มี “ประเด็น”
ประเด็นมิได้อยู่ที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพื้นที่ซึ่งมีไทยมุสลิมเป็นด้านหลักเท่านั้น หากแต่ยังอยู่ที่ความขัดแย้งซึ่งดำรงอยู่อย่างยาวนาน
ที่แหลมคมเป็นอย่างมากก็คือ มีการต่อสู้ด้วยอาวุธ
มีความพยายามจากหลายรัฐบาลที่เสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหา แต่ปัญหาก็ดำรงอยู่อย่างยืดเยื้อและเรื้อรัง
การเกิดขึ้นของพรรคประชาชาติก็เพื่อการนี้
ต้องยอมรับว่าองค์ประกอบของพรรคประชาชาติมาจากการรวมตัวกันของนักการเมืองในกลุ่มที่เรียกตนเองว่า “วาดะห์” ซึ่งที่ผ่านมามิได้มีพรรคการเมืองของตนอย่างเด่นชัด
เห็นได้จากการเข้าไปร่วมกับพรรคการเมืองเดิม
ไม่ว่าจะเป็นพรรคกิจสังคม ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นพรรคความหวังใหม่ กระทั่งมาลงหลักปักฐานอยู่กับพรรคไทยรักไทย
จากพรรคไทยรักไทยต่อมาพรรคพลังประชาชน และที่สุดคือพรรคเพื่อไทย
แนวทางในการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของพรรคประชาชาติจึงสัมพันธ์กับแนวทางในการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของพรรคเพื่อไทย
ตรงนี้สำคัญและทรงความหมาย
แนวทางที่ปรากฏในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผ่านพรรคเพื่อไทยแท้จริงก็เพื่อที่จะยอมรับจากที่เคยผิดพลาดมาในยุคพรรคไทยรักไทยเมื่อเดือนมกราคม 2547
นั่นก็คือ แทนที่จะเผชิญหน้าอย่างชนิดตาต่อตา
ตรงกันข้าม เมื่อถึงรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เสนอแนวทางในการเจรจาโดยอาศัยทางการมาเลเซียเป็นตัวกลางเชื่อมไปยังขบวนการในพื้นที่
แนวทางนี้ถูกยกเลิกทันทีภายหลังการรัฐประหารเมื่อปี 2557
การที่บางส่วนของพรรคเพื่อไทยแยกตัวออกไปจัดตั้งพรรคประชาชาติจึงไม่เพียงแต่เป็นยุทธวิธีเพื่อรับมือกับกฎกติกาใหม่ของการเลือกตั้ง หากที่สำคัญก็คือการชูนโยบายที่สวนทางกับคสช.
ตรงนี้คือการปะทะกันในเชิง “นโยบาย” อันแหลมคมยิ่ง
การเกิดขึ้นของพรรคประชาชาติจึงมิได้เป็นการดำรงอยู่อย่างเป็นพันธมิตรในแนวร่วมกับพรรคเพื่อไทย หากแต่ยังเดินหน้าก่อให้เกิดการเปรียบเทียบเชิงนโยบาย
ไม่เพียงแต่ต่อกระบวนการของ “คสช.”
หากที่สำคัญเป็นอย่างมากก็คือ การเปรียบเทียบกับแนวทางของพรรคการเมืองอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคประชาธิปัตย์
ผลจะเป็นอย่างไร คำตอบอยู่ที่ “ประชาชน”