ไม่ว่าพรรครวมพลังประชาชาติไทย ไม่ว่าพรรคพลังประชารัฐ เปิดตัวขึ้นมาด้วยความคึกคัก เข้มข้นอย่างยิ่งในทางการเมือง
เป้าหมาย คือ ต้องการโค่น “แชมป์”
แน่นอน แชมป์ในสนามการเลือกตั้งนับแต่การเลือกตั้งเมื่อเดือนมกราคม 2544 เป็นต้นมาเป็นพรรคการเมืองใดรู้กันอยู่
เป็น “เพื่อไทย” มิใช่ “ประชาธิปัตย์”
น่าสนใจก็ตรง แม้จะมีเป้าหมายเพื่อโค่นแชมป์ แต่มิได้เป็นการโค่นในแบบ “น็อกเอาต์” แต่ดำเนินไปในท่วงทำนองว่าให้ชนะผ่านกระบวนการ “ฟาวล์” มากกว่า
ตรงนี้แหละที่สะท้อน “ด้านรอง” ออกมา
สภาพความเป็นจริงอันเป็นผลสะเทือนจากการเลือกตั้งเมื่อเดือนมกราคม 2544 ไม่เพียงแต่จะทำให้พรรคการเมืองไทยมีลักษณะต่อสู้กัน 2 พรรคอย่างเด่นชัด
คือ พรรคไทยรักไทย กับ พรรคประชาธิปัตย์
หากยากเป็นอย่างยิ่งที่จะมีพรรคอันดับ 3 ทะยานขึ้นมาแทนที่พรรคอันดับ 2 คือ พรรคประชาธิปัตย์ได้อย่างง่ายดาย
มีความพยายามหลังรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 แต่ก็ไม่สำเร็จ
ยุทธศาสตร์ตามแผนบันได 4 ขั้นของคมช.ต้องการโค่นพรรคพลังประชาชนผ่านกระสวนเดียวกันกับยุทธศาสตร์ที่มีต่อพรรคเพื่อไทยนี่แหละ
เพียงแต่ในปี 2550 มีพรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคมัชฌิมาธิปไตย
หากดูจากการก่อรูปของพรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคมัชฌิมาธิปไตย เพื่อไปผนวกตัวรวมพลังกับพรรคประชาธิปัตย์ ก็แทบไม่มีอะไรแตกต่างไปจากยุคคสช.
เพียงแต่ยุคนี้เป็น พลังประชารัฐ รวมพลังประชาชาติไทย
เป้าหมายอย่างแท้จริงก็ยังฝากความหวังอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา ว่าจะมาอยู่ในเส้นทางเดียวกัน
แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าจะบ่อนเซาะ “เพื่อไทย” ได้แค่ไหน
ยิ่งกว่านั้น ในระยะหลังยังเพิ่มความสลับซับซ้อนขึ้นไปอีกเมื่อวางเป้าหมายว่าจะบ่อนเซาะ “ประชาธิปัตย์” ได้แค่ไหนอีกด้วย
แสดงว่า “ประชาธิปัตย์” ก็เริ่มมีทิศทางของตนเอง
ปรากฏการณ์อันถือได้ว่าเป็นมิติใหม่ในทางการเมืองก็คือ พรรคเพื่อไทยมิได้โดดเดี่ยวเหมือนกับการเลือกตั้งเมื่อเดือนธันวาคม 2550
อย่างน้อยก็ปรากฏ “พันธมิตร” ใน “แนวร่วม”
นั่นก็คือ การเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่พร้อมกับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประสานกับการเกิดขึ้นของพรรคประชาชาติของกลุ่มวาดะห์
ปัจจัยนี้จะยิ่งทำให้แผนสืบทอดอำนาจเพิ่มความยุ่งยากขึ้น