ไม่ว่าข่าวที่ว่า นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล สั่งการให้คนของตนเก็บข้าวของเตรียมออกจากทำเนียบรัฐบาล ไม่ว่าข่าวที่ว่า นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ไม่ได้สั่งการอะไรต่อคนของตนเลย
ล้วนดำเนินไปในลักษณะ ข่าวลือ ข่าวปล่อย
เพียงแต่ว่าไม่ได้ปล่อยออกจากพรรคเพื่อไทย เพียงแต่ว่าไม่ได้ปล่อยออกมาจากพรรคประชาธิปัตย์
ตรงกันข้าม ล้วน “ปล่อย” ออกมาจาก “ทำเนียบรัฐบาล”
ในที่สุดแล้วความเป็นจริง คือ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรเลย หรือว่าตระเตรียมที่จะยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี
แต่กรณีนี้สะท้อนให้เห็นความเป็นจริงในทำเนียบรัฐบาลอย่างแจ่มชัด
ความน่าสนใจอันปรากฏในห้วงเวลาเดียวกันภายหลังข่าวลือการเก็บข้าวของในห้องของ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ก็คือ
ข่าวลือนี้มาจากภายใน “ทำเนียบรัฐบาล”
เป็นการปล่อยข่าวโดยทหารที่แวดล้อมอยู่โดยรอบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อกดดันและสร้างเงื่อนไขให้ 4 รัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง
โดยชิมลางไปยัง นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ก่อน
เป้าหมายก็คือ หาก 4 รัฐมนตรียินยอมลาออกเพื่อรักษาภาพในทางการเมือง นั่นหมายถึง การปรับครม.และนั่นคือโอกาสอย่างมีความหมาย
คาดว่าจะผลักดัน “ทหาร” เข้าไปแทนที่
ทั้งข่าวที่พุ่งตรงไปยัง นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ทั้งข่าวโต้กลับที่ว่าเป็นแผนกดดันอันแยบยลซึ่งมาจากบรรดาทหารหาญในทำเนียบรัฐบาล
สัมพันธ์โดยตรงไปยัง 2 กลุ่มการเมืองสำคัญ
1 คือ กลุ่มคสช.อันมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยืนอยู่หัวแถวในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี
1 คือ กลุ่ม นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
เพราะว่าไม่ว่า นายอุตตม สาวนายน ไม่ว่า นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ ไม่ว่า นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ไม่ว่า นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ล้วนเป็นเครือข่าย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
ผลจะเป็นอย่างไร ไม่นานเกินรอ มีคำตอบ
ผลในที่นี้มิได้ครอบคลุมเพียงว่า การลาออกของ 4 รัฐมนตรีจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ประการเดียว หากว่าไม่บังเกิดย่อมสะท้อนให้เห็นว่าการกดดันไม่ประสบผลสำเร็จ
ขณะเดียวกัน หากบังเกิดขึ้นจริงก็ยังมีคำถามต่ออีก
เป็นคำถามว่า บุคคลที่จะเข้ามาแทนที่เป็นสายทหาร หรือว่ายังอยู่ภายใต้การตัดสินใจของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
ประการหลังต่างหากที่มีความสำคัญเป็นอย่างสูง