ต่อการเดินทางมายังฮ่องกง ต่อการเดินทางไปพบ นายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ฮ่องกงของบรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทย

คสช.และรัฐบาลทอดตามองอย่างสุขุม

ไม่ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ว่า นายวิษณุ เครืองาม ตอบความข้องใจของสังคมด้วยความเยือกเย็นอย่างเป็นพิเศษ

ท่านแรกอาจโยนไปให้ “กกต.”

แต่ท่านหลังยืนยันเลยว่า การซื้อตั๋วเครื่องบินไปฮ่องกงของแกนนำพรรคเพื่อไทยเป็นเรื่องสามารถทำได้ “อาจไปช็อปปิ้ง อาจไปเดินเล่นก็ได้”

บทสรุปก็คือ ไม่มีอะไร “ผิดกฎหมาย”

นี่ย่อมเป็นท่าทีอันแปลกเปลี่ยนไป หากย้อนไปพิจารณาจากท่าทีหลังรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 หรือท่าทีหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557

โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เคยมีต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ความดุเดือดอันเคยปรากฏผ่านการไล่ล่าของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล หรือล่าสุดของ นายดอน ปรมัตถ์วินัย ที่มีหนังสือไปยังกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ

อาจกล่าวได้ว่าเป็นหนังคนละม้วน คนละเรื่อง

หากจับผ่านคำพูดของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และหรือ นายวิษณุ เครืองาม เท่ากับสะท้อนว่า คสช.และรัฐบาลมีความมั่นใจ

นั่นก็คือ มั่นใจว่าควบคุมทุกอย่างได้

ในความเป็นจริงท่าทีอันสะท้อนผ่านรายงานข่าวการหารือระหว่าง นายทักษิณ ชินวัตร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับบรรดาแกนนำของพรรคเพื่อไทย

ไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากความคาดหมาย

การปรากฏขึ้นของข่าวแตกสาขาพรรคการเมืองตระกูล “เพื่อ” จากที่มีเพียงพรรคเพื่อไทยไปเป็นพรรคเพื่อธรรม หรือแม้กระทั่งพรรคเพื่อชาติ

มิได้เป็นของใหม่ หากแต่เป็นไปตาม “รัฐธรรมนูญ”

ระบบการเลือกตั้งโดยใช้บัตรเพียง 1 ใบ มิใช่ 2 ใบเหมือนที่เคยเกิดผ่านรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 และรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 คือ เครื่องกำหนดทิศทาง

ทำให้พรรคเพื่อไทยจำเป็นต้อง “เดิน” ไปอย่างนั้น

แท้จริงแล้วทุกกระบวนการอันปรากฏเป็นข่าวระลอกแล้วระลอกเล่าสะท้อนให้เห็นการพยายามดิ้นรนเพื่อหาหนทางออก

เป็นการต่อสู้ตามแนวทางที่ “รัฐธรรมนูญ” กำหนด

อาจจะมีสภาวะยอกย้อน จากพรรคเพื่อไทยกลายเป็นพรรคเพื่อธรรมและทำท่าว่าอาจจะมีพรรคเพื่อชาติหรือแม้กระทั่งพรรคเพื่อปวงชนชาวไทย

นั่นก็เป็นสิ่งที่ “คสช.” ต้องการอยู่แล้ว มิใช่หรือ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน