คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง
ยุทธวิธีการรุกไล่ “ธรรมกาย” เริ่มแปรเปลี่ยนจากสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ อย่างมีนัยสำคัญ
เห็นได้จาก 1 บทบาทของ “สนช.”
นั่นก็คือ นายสมพร เทพสิทธา ได้เคลื่อนไหวที่จะกดดันให้มหาเถรสมาคมนำเอากรณี “พระลิขิต” มาพิจารณาใหม่อีกครั้ง
เล่นงานตรงไปยัง สถานภาพของ พระเทพญาณมหามุนี
ขณะเดียวกัน เห็นได้จาก 1 การปล่อยข่าวการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่จะร่วมและประสานกับหน่วยงานอื่นเพื่อปิดคดี “ธรรมกาย”
มิได้เป็น พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล
หากแต่เป็น พล.ต.อ.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หากแต่ยังอยู่ในฐานะ “โฆษก ตร.”
จากนั้น “ยุทธวิธี” ใหม่ๆ ก็เริ่มเผยแสดงออกมา
ทั้งหมดนี้ยืนยันอย่างเป็นรูปธรรมว่า สถานการณ์นับตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ เป็นต้นมา เท่ากับเป็นการกระชับอำนาจการบริหารภายในศาสนจักร
จึงเห็นการขับเคลื่อนของ นายสมพร เทพสิทธา
ยิ่งกว่านั้น ยังเห็นการขับเคลื่อนของ นพ.มโน เลาหวณิช ที่ออกมาแจ้งข้อมูลว่ามวลชนที่เดินทางไปร่วมกับวัดพระธรรมกายเริ่มถดถอยน้อยลง
ที่เคยเห็นเป็น “เรือนแสน” ตอนนี้เหลือเพียง “เรือนหมื่น”
จึงเห็นการขับเคลื่อนในเชิง “ยุทธวิธี” โดยที่องค์ประกอบหลักยังเป็นการประสานและร่วมมือกันระหว่าง “ตำรวจ” กับ “ดีเอสไอ” แต่ที่เพิ่มเข้ามาใหม่และอย่างแข็งขันเป็นอย่างมาก คือ บทบาทของทหารในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1
จากนั้นจึงมีการประกาศ “เขตควบคุมพิเศษ”
คำว่าเขตควบคุมพิเศษอาจมาโดยคำสั่งจาก “ดีเอสไอ” แต่เชื่อว่าน่าจะมาจากการสนธิสมองร่วมกันระหว่างทหารกับตำรวจ
มาตรการนี้เท่ากับเป็นการ “ล็อกเป้า”
ทาง 1 เท่ากับเป็นการจำกัดกรอบให้กับบรรดา “กัลยาณมิตร” และ “พระภิกษุ” ซึ่งอยู่ในฐานะเป็นมวลชนและเป็นแนวร่วมของวัดพระธรรมกาย
ทาง 1 เท่ากับเป็นการแยกสลายวัดพระธรรมกายออกจากมวลชน
เมื่อเป็นเช่นนี้บรรดา “กัลยาณมิตร” ย่อมต้องคิดหนัก เมื่อเป็นเช่นนี้บรรดา “พระภิกษุ” ยิ่งต้องพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบ
ในที่สุดก็จะโดดเดี่ยว “วัดพระธรรมกาย” เท่ากับ “แยกน้ำออกจากปลา”
พลันที่มี “ทหาร” สนธิกำลังโดยประสานกับ “ตำรวจ” อย่างใกล้ชิด ทุกอย่างดำเนินไปตาม “แผนยุทธการ”
ไม่มีการแถลงข่าวอย่างอึกทึก ครึกโครม ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปิดลับ รอคอยความพร้อมทั้งในทางการเมืองและในทางการทหาร
พร้อมเมื่อใด เมื่อเอยก็เมื่อนั้น