คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง
เห็นการออกโรงมาปกป้อง “7 สนช.” ที่ขาดประชุมจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และจาก พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท แล้ว
ก็เข้าใจ
เข้าใจว่าเรื่องของ “7 สนช.” ขาดประชุมเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องสำคัญ รองนายกรัฐมนตรีจึงต้องออกโรง ผบ.ทบ.ซึ่งเป็นเลขาธิการคสช.จึงต้องออกโรง
เพราะว่าเป็นเรื่องของ “ทหาร” อย่างนั้นหรือ
อาจใช่ เพราะอย่างน้อยก็มี พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง ผบ.ทอ.รวมอยู่ด้วย และยังมี พล.ร.อ.ณะ อารีนิจ ผบ.ทร.รวมอยู่ด้วย
กระนั้น ความสำคัญของเรื่องก็ยังอยู่ที่ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา
เพราะภายใน 1 ใน 7 สนช.ที่ขาดประชุมอย่างผิดปกติมีชื่อ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา รวมอยู่ด้วยต่างหาก กรณีนี้จึงกลายเป็นประเด็น จึงกลายเป็นเรื่อง
ทำไม
แท้จริงแล้ว ตัวของ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ก็เป็นนายทหารเกษียณราชการ ถือว่าอยู่ “นอกประจำการ” แล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ที่เคยเป็น “แม่ทัพภาคที่ 3” ก็ไม่ใช่
ที่เคยเป็น “ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก” ก็ไม่ใช่ และที่เคยเป็น “ปลัดกระทรวงกลาโหม” ซึ่งเป็นเหมือนแม่บ้านก็ไม่ใช่
น่าจะปล่อยให้ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา อยู่เงียบๆ
แต่นี่ไม่เพียงแต่มีข่าว “ปล่อย” มาจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.เรื่องจะไล่เบี้ยด้วยการตรวจสอบบริษัทรับเหมาก่อสร้างของลูกชาย พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา เท่านั้น หากแต่ยังมีการตรวจสอบเรื่องรายละเอียดการประชุมของสนช.กระทั่งปรากฏชื่อ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ออกมาอีก
ทุกอย่างล้วนเนื่องมาแต่นามสกุล “จันทร์โอชา”
หาก พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา มิได้เป็นน้องชายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นหัวหน้าคสช.และเป็นนายกรัฐมนตรี ก็คงไม่เป็น “ประเด็น”
หรือเป็นประเด็นก็คงไม่ “อื้อฉาว” ระดับนี้
กรณีของ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ก็ดำเนินไปเหมือนกับกรณีของ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ในยุคที่นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
นั่นก็คือ กลายเป็น “เผือกร้อน” กลายเป็น “ประเด็น”
เมื่อไม่สามารถกระหน่ำเข้าใส่ นายทักษิณ ชินวัตร โดยตรงได้ก็ต้องอาศัยตีลูกแคนนอนจาก พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร เข้าไป
“ชัยสิทธิ์” เป็นเช่นใด “ปรีชา” ก็เป็นเช่นนั้น
หากสรุปตามกฎแห่งกรรมกรณีนี้สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เหมือนกับ นายทักษิณ ชินวัตร
เมื่อตัดสินใจผลักดัน พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร เมื่อตัดสินใจผลักดัน พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผลที่บุคคลทั้ง 2 ได้รับก็กระจายไปยัง นายทักษิณ ชินวัตร และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ทุกอย่างดำเนินไปตามวิถีในทาง “การเมือง”
