ฐานะ การเมือง ฐานะ ประชาธิปัตย์ กับ ระบอบคสช.
คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง
ระบอบคสช. – คําประกาศความชัดเจนว่าไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยพรรคประชาธิปัตย์ พลันกลับกลายเป็นเรื่องตลกขึ้นมาทันทีที่พรรคประชาธิปัตย์พร้อมร่วมตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ
เหมือนกับจะเป็นความมากด้วย “เขี้ยว”
เพราะการปฏิเสธ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ส่งผลให้พรรคประชาธิปัตย์หล่อเหลาด้วยความสดใสและกาววาวยิ่งในทางการเมือง
และการพร้อมจับมือกับพรรคพลังประชารัฐยิ่งเป็นหลักประกัน
เพราะว่าพรรคพลังประชารัฐไม่เพียงมี ส.ส.อยู่ในมือ หากแต่ยังมี ส.ว.อีก 250 ตุนเอาไว้อย่างมั่นคงแข็งแกร่ง โอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะได้เป็นรัฐบาลย่อมสูงอย่างสูงยิ่ง
ในเมื่อคำประกาศนี้เป็นเหมือนกระดานหกให้โอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะชนะเลือกตั้ง และเป็นกระดานหกส่ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไปสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
แล้วจะกลายเป็น “เรื่องตลก” ได้อย่างไร
คำตอบของเรื่องนี้ไม่เพียงแต่เห็นปฏิกิริยาอันมาจาก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ หากแต่ยังได้ยินเสียงหัวร่อดังครืนจากภายในพรรคพลังประชารัฐ
ไม่ว่าจะเป็น นายอุตตม สาวนายน ไม่ว่าจะเป็น นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์
เพราะในที่สุดแล้วการจะแยก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกจากพรรคพลังประชารัฐตามความต้องการของพรรคประชาธิปัตย์ยากยิ่งที่จะเป็นไปได้
กระนั้น คำอธิบายที่ดีที่สุดก็คือ กลยุทธ์นี้ของพรรคประชา ธิปัตย์สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจต่อสภาพความเป็นจริงของการเมืองหลังรัฐประหาร
การดำรงอยู่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มิได้เป็นเรื่องเอกเทศ
ตรงกันข้าม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาในฐานะ “ตัวแทน” ของ “ระบอบคสช.” โดยมีประกาศและคำสั่งคสช. รัฐธรรมนูญคสช. กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือ
การเลือกตั้งเสมอเป็นเพียงเครื่องฟอกขาวให้กับ คสช.เท่านั้นเอง
โอกาสของพรรคประชาธิปัตย์หากจะได้ โอกาสของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หากจะได้ก็ต่อเมื่อทั้งพรรคประชาธิปัตย์และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รับจะสืบทอด “ระบอบคสช.” เท่านั้นเอง
จากนี้จึงเห็นได้ว่าคำประกาศของพรรคประชาธิปัตย์ได้มีส่วนอย่างสำคัญผลักดันให้พรรคประชาธิปัตย์ไปเป็นส่วนหนึ่งของ คสช.ร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ
ยืนซดอยู่กับพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่
กลายเป็นตัวเลือกเชิงเปรียบเทียบว่าจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ หรือจะเลือกพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่
นั่นก็คือ จะเอากลุ่มสืบทอด “ระบอบคสช.” หรือปฏิเสธ “ระบอบคสช.”