วิเคราะห์การเมือง : การเมืองยุคใหม่จากอนาล็อกสู่ดิจิตอลคำพูดกับการทำ
การเมืองยุคใหม่จากอนาล็อกสู่ดิจิตอลคำพูดกับการทำ : ปัจจัยอันทำให้การเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคมมีความสำคัญและมีความแหลมคมอย่างยิ่งในทางการเมืองเด่นชัดยิ่งมาจาก “เทคโนโลยี”
นั่นก็คือ การก้าวผ่านจาก “อนาล็อก” มายัง “ดิจิตอล”
ในยุคก่อนบทบาทของหนังสือพิมพ์ บทบาทของโทรทัศน์ อาจเป็นตัวชูโรง สร้างความโดดเด่นให้กับนักการเมือง
มาถึงยุคนี้ 2 สื่อนั้นอาจยังมีบทบาท แต่ที่โดดเด่นยิ่งกว่าคือ “ออนไลน์”
การปราศรัยยังสำคัญ การดีเบตประชันวิสัยทัศน์ยังสำคัญ แต่ที่สำคัญมากยิ่งกว่าคือการบันทึกผ่านคลิปวิดีโอแล้วเผยแพร่ผ่านโซเชี่ยล มีเดีย
โซเชี่ยลมีเดียนั้นเองทำให้เราได้เห็นภาพ ได้ยินเสียง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เห็นภาพและได้ยินเสียง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ติดตรึงฝังใจ
พูดอย่างไร แสดงอากัปกิริยาอย่างใด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนเวทีปราศรัย บนเวทีดีเบต ไม่ว่าจะเป็น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แห่งพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล แห่งพรรคภูมิใจไทย
มีความเห็นอย่างไรต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
และเมื่อมาถึงห้วงเวลาของการตัดสินใจในทางการเมือง คลิปเสียงและการเคลื่อนไหวที่เคยพูด อย่างไรก็มีการรื้อฟื้นขึ้นมาและตั้งเป็นคำถาม
โลกในยุคดิจิตอลแทบไม่เหลือความลับอะไรในทางการเมืองอีกแล้ว ภาพและเสียงในระหว่างปราศรัยจึงกวดตามหลังนักการเมืองมาติดๆ
สังคมสามารถ “ดึง” มาแสดงได้อย่างรวดเร็ว
ความชัดเจนที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศจึงมิได้หายไปไหน แนวทางที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล เรียกร้องให้เคารพ 500 ส.ส. เหนือกว่า 250 ส.ว. จึงมิได้หายไปไหน
วนเวียนอยู่ 2 หู กึกก้องไปทั่วประเทศ
ตรงนี้เองที่ทำให้การตัดสินใจของพรรคประชาธิปัตย์ และการตัดสินใจของพรรคภูมิใจไทย ทรงความหมายเป็นอย่างสูงในทางการเมือง
หลักการที่ว่าเมื่อนักการเมืองพูดประชาชนก็จะฟัง และเมื่อนักการเมืองตัดสินใจกระทำตามคำพูดประชาชนก็จะให้ความเชื่อถือ
ยังเป็นหลักการที่เที่ยงแท้ แน่นอน
ไม่ว่านักการเมืองคนนั้นจะชื่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แห่งพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่านักการเมืองคนนั้นจะชื่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล แห่งพรรคภูมิใจไทย
สัจจะของนักการเมืองจึงยังมีความหมาย