วิเคราะห์การเมือง : ทางเลือกการเมืองประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทยอยู่ที่ ผลประโยชน์
ทางเลือกการเมืองประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทยอยู่ที่ ผลประโยชน์ : สถานการณ์นั่นเองทำให้เกิดภาพ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน จากพรรคประชาธิปัตย์ ไปจับมือและโอบกอดกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย อย่างสนิทชิดใกล้
“ทำงานกันอยู่นะครับ ไม่ได้มากินกันเฉยๆ”
แม้ไม่ได้มีการลงสัตยาบัน แต่ภาพนี้ก็เหมือนกับ เมื่อครั้งที่พรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรคเสรี รวมไทย พรรคประชาชาติ พรรคเพื่อชาติ พรรคพลัง ปวงชนไทย
นั่งอยู่พร้อมหน้ากันเมื่อวันที่ 27 มีนาคม ที่โรงแรม แลงคาสเตอร์
เพียงแต่ภาพเมื่อวันที่ 27 มีนาคม เป็นการร่วมมือกันของพันธมิตรในแนวร่วมต่อต้านการสืบทอด อำนาจคสช. อันนำไปสู่จำนวน 245 ส.ส. ในที่สุดเท่านั้นเอง
กล่าวในลักษณะของการรวมกลุ่มภาพการจับมือและโอบกอดกันของ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน กับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล อาจเป็นการผนวก 52 กับ 51 เข้าด้วยกันเป็น 103
ประเด็นมิได้อยู่ที่ว่า 103 มีความหมายมากน้อยเพียงใด
หากแต่ที่สำคัญเป็นอย่างมากก็คือ เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ 52 ผนวกเข้ากับพรรคภูมิใจไทย 51 อำนาจในการต่อรองก็ย่อมสูงขึ้น
ไม่ว่าซีกพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าซีกพรรคพลังประชารัฐย่อมเกรงใจ
เช่นนี้เองพรรคประชาธิปัตย์จึงยังไม่มี “มติ” เช่นนี้เองพรรคภูมิใจไทยจึงมอบการตัดสินใจขั้นสุดท้ายให้กับหัวหน้าพรรค
การตั้งป้อมค่ายที่เห็นอย่างเด่นชัดว่าเป็น 3 ป้อมค่ายนี้ ทางด้านพรรคเพื่อไทยมีความเด่นชัด ทางด้านพรรคพลังประชารัฐก็มีความเด่นชัด
แต่พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย ยังอยู่ระหว่างการตัดสินใจ
ความหมายก็เป็นไปอย่างที่ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย เคยกล่าว “มิใช่ว่าโยนอะไรมาเราจะต้องงับไปหมด”
นั่นก็คือ ท่าทีในการต่อรองหากว่ามีการเจรจา
เพราะว่าการมี 103 เสียงอยู่ในมือ ไม่ว่าจะเอนหรือไปผนวกตัวรวมพลังกับฝ่ายใดย่อมทำให้ปริมาณของฝ่ายนั้นทรงความหมายขึ้นโดยอัตโนมัติ
จะเรียกว่าเป็นธรรมชาติในทางการเมืองก็ย่อมได้ จะเรียกว่าเป็นพัฒนาการอีกก้าวหนึ่งในทางการเมืองก็ได้ภายหลังการรัฐประหารจากปี 2549 มายังปี 2557
นั่นก็คือ พรรคการเมืองมิได้อยู่ในฐานะเป็น “เป้านิ่ง”
มิใช่ว่าคณะรัฐประหารจะไปจับวางเอาไว้ตรงไหนก็ได้ มิใช่ว่าจังหวะก้าวของพรรคการเมืองจะบีบก็ตายจะคลายก็รอดอย่างที่คณะรัฐประหารคิด
กระนั้น คำตอบสุดท้ายก็อยู่ที่ว่าจะเลือกและตัดสินใจอย่างไร