สมมติ กรณี ของ สุภรณ์ อัตถาวงศ์ คดีขาด อายุความ

คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง

สมมติ กรณี ของ สุภรณ์ อัตถาวงศ์ คดีขาด อายุความ – จะเข้าใจสถานการณ์ของ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ในกรณีคดีบุกเข้าไปในที่ประชุมสุดยอดอาเซียนเมื่อเดือนเมษายน 2552 มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนรูปแบบ

เปลี่ยนรูปแบบในลักษณะ “สมมติ”

สมมติว่า นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ยังเหนียวแน่นอย่างเป็นเนื้อเดียวอยู่กับนปช.และกับพรรคเพื่อไทยไม่แปรเปลี่ยน

สภาพของ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ จะเป็นอย่างไร

คำตอบมีให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า น่าจะไม่แตกต่างไปจาก นายอดิศร เพียงเกษ น่าจะไม่แตกต่างไปจาก นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ

ขอให้ลองสมมติให้ลึกลงไปในรายละเอียดว่า หาก นายอดิศร เพียงเกษ และ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ไม่ยอมไปพบตามคำสั่งของสำนักงานอัยการสูงสุด

เหมือนที่ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ไม่อาจไปได้ในเดือนเมษายน 2562

เชื่อได้เลยว่า คำสั่งและหมายเรียกจากสำนักงานอัยการสูงสุดที่ส่งไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองพัทยาจะต้องเป็นไปด้วยความเข้มข้น

ดีไม่ดีอาจจะมีนายตำรวจใหญ่จาก “ส่วนกลาง” เข้ามากำกับ

การไล่ล่าเพื่อจับกุมตัว นายอดิศร เพียงเกษ จักต้องเกิดขึ้น การไล่ล่าเพื่อจับกุมตัว นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จักต้องเกิดขึ้น กลายเป็นข่าวพาดหัวอย่างอึกทึกครึกโครม

ถามว่ามีเหตุปัจจัยอะไรทำให้สถานการณ์ของ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ แปรเปลี่ยนไม่เป็นเหมือนสถานการณ์ของ นายอดิศร เพียงเกษ และ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ

หากฟังจากอัยการก็อย่างหนึ่ง หากฟังจาก นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ก็อย่างหนึ่ง

แต่ที่เด่นชัดเป็นอย่างมากก็คือ ทางอัยการมีความเห็นว่าปฏิบัติการเพื่อนำตัว นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ มาให้ตามคำสั่งของตำรวจไม่ขึงขังเท่าที่ควร

ทุกอย่างจึงทำให้กรณีของ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ขาดอายุความ

ทำให้กรณีของ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ แตกต่างไปอย่างหน้ามือกับหลังมือเมื่อเปรียบเทียบกับ กรณีของ นายอดิศร เพียงเกษ และ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ

หากศึกษารายละเอียดจากกรณีของ นายอดิศร เพียงเกษ และ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กับกรณีของ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ก็จะมองเห็นจุดต่าง

จุดต่างอยู่ที่ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ได้ออกจากพรรค เพื่อไทย

จุดต่างอยู่ที่ นายอดิศร เพียงเกษ ยังอยู่กับพรรคเพื่อไทย จุดต่างอยู่ที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แม้จะไม่อยู่กับพรรคเพื่อไทยแต่ก็ไปอยู่ที่พรรคไทยรักษาชาติ

การไม่อยู่กับพรรคเพื่อไทยกลายเป็นจุดเด่นของ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน