เผือกร้อน การเมือง สถานการณ์ พระราชกำหนด ในมือ “ประยุทธ์”
คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง
เผือกร้อน การเมือง สถานการณ์ พระราชกำหนด ในมือ “ประยุทธ์” – ชะตากรรมของ นายจุติ ไกรฤกษ์ ภายหลังประสบเข้ากับพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว พ.ศ.2562
เข้าลักษณะ เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แต่ได้กระดูกมาแขวนคอ
เพราะเรื่องของพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว พ.ศ. 2562 เป็นเรื่องอันมาจากรัฐบาล “ก่อน”
เป็นรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก่อน “การเลือกตั้ง”
เพียง 2 วันหลัง นายจุติ ไกรฤกษ์ เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมก็ออกมา
ความที่เป็นนักการเมืองชาญสนาม ตั้งแต่พรรคประชากรไทย กระทั่งย้ายมาเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ นายจุติ ไกรฤกษ์ สามารถรับมือได้อย่างสบายๆ
แต่ถามว่าเหมาะสมและสมควรหรือไม่
เพราะพ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว พ.ศ.2562 เป็นผลงานของรัฐบาลก่อนและเป็น กระบวนการทำงานของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
แล้วเหตุใดจึงถูกสกัดโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เท่ากับรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังการเลือกตั้งแสดงความกังขาต่อประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก่อนการเลือกตั้งกระนั้นหรือ
ยิ่งกว่านั้น การตราพระราชกำหนดออกมาอย่างฉุกละหุก กะทันหันยิ่งสะท้อนให้เห็นกระบวนการบริหารจัดการตามความเคยชินในแบบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อีกด้วย
เพียงแต่เมื่อก่อนมี “มาตรา 44” เพียงแต่ตอนนี้มี “พระราชกำหนด”
จุดต่างอย่างสำคัญก็คือ ภายใต้มาตรา 44 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จไม่มีใครกล้าหือกล้าอือ ออกเช้ายกเลิกเย็นก็ไม่เป็นอะไร
แต่ในเมื่อมาตรา 44 ไม่มีแล้วผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร
ในเมื่อตามรัฐธรรมนูญมีความจำเป็นต้องนำเอาพระราชกำหนดฉบับนี้เสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือไม่
ด่านแรกที่จะต้องนำพระราชกำหนดนี้เข้าสภาก็คือกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่ง นายจุติ ไกรฤกษ์ เป็นรัฐมนตรี
นี่คือเผือกร้อนที่ตกในมือ
เป็นเผือกร้อนหากสภาไม่อนุมัติเห็นชอบชะตากรรมก็จะเข้าลักษณะเดียวกันกับกรณีของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม เมื่อปี 2487 และ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เมื่อปี 2531
นั่นก็คือ หากไม่ยุบสภาก็ต้องลาออก