นครปฐม ระอุ “สะสมทรัพย์” ทวงคืน จาก อนาคตใหม่ : วิเคราะห์การเมือง
เมื่อปะเข้ากับสโลแกนแรกสุดที่ปล่อยออกมา ว่า “ทนลุงไม่ไหว เลือกอนาคตใหม่” จึงถูกต้องแล้วที่พรรคพลังประชารัฐจะถอยฉากเปิดทางให้พรรคประชาธิปัตย์อย่างเต็มที่
พรรคประชาธิปัตย์จึงมาในแบบจำกัดวงการต่อสู้
นั่นก็คือ ไม่ยอมขานรับกับยุทธศาสตร์ของพรรคอนาคตใหม่ที่พยายามยกระดับการเลือกตั้งซ่อมที่นครปฐม ให้เป็นประเด็นการต่อสู้ระดับชาติ
นั่นก็คือ จำกัดวงเฉพาะชาวสามพรานและลูกสามพราน เท่านั้น
แต่พลันที่พรรคชาติไทยพัฒนาประกาศพร้อมสู้เต็มพิกัดโดยฝากความมั่นใจไว้กับ นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ แผนของพรรคประชาธิปัตย์ก็อาจต้องเดี้ยง
ต้องยอมรับว่าพื้นที่นครปฐมเป็นพื้นที่ในความยึดครองของตระกูล “สะสมทรัพย์” มาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะลงในนามพรรคชาติประชาธิปไตย หรือพรรคราษฎร
เมื่อย้ายมาอยู่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทยก็ยังชนะ
ไม่ว่าการเลือกตั้งก่อนรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 หรือหลังรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ถือได้ว่าตระกูล “สะสมทรัพย์” ครองชัยชนะเหนือพรรคชาติไทย เหนือพรรคประชาธิปัตย์
เพียงแต่เพิ่งแปรเปลี่ยนหลังรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 เท่านั้น
เหตุปัจจัย 1 มาจากคสช.ส่งคนไปพบตระกูล “สะสมทรัพย์” กระทั่งต้องย้ายจากพรรคเพื่อไทยไปอยู่พรรคชาติไทยพัฒนา และ 1 มีพรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้น
การเกิดพรรคอนาคตใหม่ต่างหากคือปัจจัยสำคัญ ที่มีผลต่อการเลือกตั้งในนครปฐม ประกอบกับตระกูล “สะสมทรัพย์” เกิดการแปรเปลี่ยนในทางการเมือง
แปรเปลี่ยนจากพรรคเพื่อไทยไปอยู่พรรคการเมืองอื่น
ความจริง คสช. ต้องการให้ตระกูล “สะสมทรัพย์” ไปเป็นดาวบริวารอยู่ในพรรคพลังประชารัฐ แต่คนในตระกูลก็พยายามผ่อนปรนโดยเลือกพรรคชาติไทยพัฒนา
พรรคเพื่อไทยเองก็เกรงใจจึงไม่ส่งคนลงแข่ง
แต่ยี่ห้อพรรคชาติไทยพัฒนาติดอยู่กับพรรคชาติไทยแนบแน่น ประกอบกับมีการยุบพรรคไทยรักษาชาติ คะแนนจึงไปโด่งอยู่กับพรรคอนาคตใหม่อย่างชนิดถล่มทลาย
การเลือกตั้ง “ซ่อม” อาจเป็นโอกาสที่ตระกูล “สะสมทรัพย์” จะชิงอำนาจกลับคืนมาอยู่ในมือ จากที่เคยอยู่อันดับ 4 มาเป็นอันดับ 1
นี่เป็นรอยแค้นของตระกูล “สะสมทรัพย์”
กระนั้น ชัยชนะนี้หากได้มาก็หมายถึงจะไม่เพียงแต่จะต้องสยบพรรคอนาคตใหม่เท่านั้น หากแต่ยังต้องสยบพรรคประชาธิปัตย์อันเป็นพันธมิตรอยู่ในรัฐบาลด้วย
เลือกตั้งซ่อมนครปฐมจึง “ร้อน” อย่างชนิดระอุ