ลักษณะ สุดโต่ง เอกลักษณ์ อนาคตใหม่ การ “ไม่” ซื้อเสียง
คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง
เอกลักษณ์ อนาคตใหม่ – เหตุใดเมื่อมีข่าวในเรื่องการซื้อเสียงปะทุ ขึ้นระหว่างการเลือกตั้งซ่อม เขต 5 นครปฐม ความสงสัยจึงพุ่งเป้าไปยังพรรคชาติไทยพัฒนา ไปยังพรรคประชาธิปัตย์
ทำไมไม่สงสัยต่อ “พรรคอนาคตใหม่”
ทำไมคนที่ต้องออกมาปฏิเสธจึงเป็น นายวราวุธ ศิลปอาชา ทำไมจึงเป็น นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ โดยที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แทบไม่มีความจำเป็นต้องออกมาปฏิเสธ
นี่เป็นประเด็น “ใหม่” น่าสนใจอย่างยิ่ง
นั่นก็คือ สังคมเชื่อแล้วว่าพรรคอนาคตใหม่ไม่ซื้อเสียง เชื่อแล้วว่าคะแนนกว่า 6.3 ล้านคะแนนที่เทให้กับคนของพรรคอนาคตใหม่เป็นเพราะความเชื่อมั่น ศรัทธา ไม่เกี่ยวกับเงิน
การที่พรรคการเมืองพรรคหนึ่งสร้างความเชื่อ มั่น ศรัทธา เช่นนี้ให้เกิดขึ้นได้จึงไม่ได้อยู่ที่คำประกาศจากหัวหน้าหรือเลขาธิการพรรค อย่างเดียว
หากแต่ต้องอยู่ที่วัตรปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
เงินมีส่วนสำคัญกับทุกพรรคการเมืองจริง เพราะทุกพรรคการเมืองย่อมต้องมีค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ แต่ทำไมการบริหารจัดการของพรรคอนาคตใหม่จึงต่างไปจากพรรคการเมืองอื่น
ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นพรรคชาติไทยพัฒนา
นี่คือจุดต่างอย่างสำคัญที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล สามารถร่วมกับสมาชิกพรรค อนาคตใหม่ก่อรูปให้กลายเป็นจุดเด่นของพรรคอนาคตใหม่
จุดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ไม่ซื้อเสียง ไม่มีหัวคะแนนในแบบเก่าของพรรคอนาคตใหม่เช่นนี้เคยถูกมองว่าเป็นลักษณะสุด โต่ง สะท้อนความไร้เดียงสาในทางการเมือง
เมื่อแรกตั้งจึงไม่มีใครเชื่อว่าจะได้รับเลือกตั้ง
อย่างเก่งก็คาดหมายกันว่าน่าจะได้ไม่เกิน 5 คน หรือดีไม่ดีอาจไม่ได้เพียง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หรือ นายปิยบุตร แสงกนกกุล
แต่แล้วกลับได้มาถึง 6.3 ล้านคะแนนเสียง ส.ส. 80 กว่าคน
ทั้งยังเป็น 6.3 ล้านคะแนนเสียงที่บริสุทธิ์งดงาม เป็น 80 กว่าคนที่ประชาชนเชื่อมั่นศรัทธาและมอบความไว้วางใจให้อย่างเต็มเปี่ยม
บรรดา ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ที่กำลังหงุดหงิดและรู้สึกว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล มีลักษณะ “สุดโต่ง” ในทางการเมือง
หากคำนึงถึง “จุดแข็ง” นี้ของพรรคอนาคตใหม่
ก็ต้องยอมรับว่า หลักการ “ไม่ซื้อเสียง” หลักการไม่สร้างระบบ “หัวคะแนน” แบบเก่าก็เป็นลักษณะ “สุดโต่ง” อย่างหนึ่งในทางการเมือง มิใช่หรือ
มิใช่ความสุดโต่งอย่างนี้หรือที่ทำให้ประสบความสำเร็จ