คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง
อย่าได้แปลกใจหากจะมีการคาดหมายว่า “แคนดิเดต” ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกคนหนึ่ง คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย
ในฐานะอันเป็น “ตัวเลือก” ใหม่
เมื่อหัวหน้าพรรคเพื่อไทยหมดโอกาส เมื่อหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์หมดโอกาส เมื่อแวดวงการเมืองต้องการคนหน้าใหม่
ที่ไม่ใช่นายทหารที่มีส่วนพัวพันกับ “รัฐประหาร”
แวดวงในทางการเมืองจึงค่อนข้างสรุปตรงกันว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล อาจเป็นอีกตัวเลือก 1 ซึ่งฝ่ายของพรรคการเมืองก็ไม่ขัดข้อง
ขณะเดียวกัน ฝ่ายของทหารก็ “แฮปปี้”
มองในด้านดีพรรคภูมิใจไทยถือว่าเป็นพรรคที่ยืนอยู่ระหว่าง “กลาง” ไม่ว่าจะมองจากพรรคการเมืองด้วยกัน ไม่ว่าจะมองจากกลุ่มอำนาจทหาร
แม้จะแนบแน่นกับ “คสช.” แต่ก็เป็นพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง
เป็นพรรคการเมืองที่เคยร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคการเมืองที่เคยร่วมหอลงโรงอยู่กับพรรคเพื่อไทยตั้งแต่ยังเป็นพรรคพลังประชาชนและพรรคไทยรักไทย
ขณะเดียวกัน ก็มีสัมพันธ์อันดีอยู่กับบิ๊กทหาร
ท่วงทำนองในแบบกลางๆ อาจเป็นคุณลักษณะที่เหมาะสมกับสภาพการณ์พิเศษทางการเมืองที่ต้องการการปรองดอง สมานฉันท์
ปรองดองสมานฉันท์เพื่อ “เริ่มต้น” ใหม่
ปมเงื่อนสำคัญอย่างยิ่งสำหรับพรรคภูมิใจไทยก็คือ เมื่อเสนอตัวเข้ามาแล้วประชาชนทั่วประเทศจะมีความเห็นอย่างไร
ตรงนี้แหละคือ ผลดีอันเป็นจุดแข็งของ “การเลือกตั้ง”
อำนาจและอิทธิพลจากปากกระบอกปืนไม่สามารถบงการ “การเลือกตั้ง” ได้ ตัวอย่างก็เห็นได้แล้วจากการเลือกตั้งเมื่อเดือนธันวาคม 2550 และจากการเลือกตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2554
พรรคพลังประชาชนชนะเพราะประชาชนเทคะแนนให้
พรรคเพื่อไทยชนะและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรีทั้งๆ ที่หาเสียงเพียง 40 กว่าวัน ก็เพราะประชาชนเขามอบความไว้วางใจให้
คำถามก็คือ พรรคภูมิใจไทย ทำได้หรือไม่
คนที่จะตอบคำถามนี้เป็นพรรคภูมิใจไทย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค
เพราะว่าเมื่อเข้าสู่กระบวนการของ “การเลือกตั้ง” ก็เท่ากับเป็นการอาสาและทอดตัว ขณะเดียวกัน การอาสาและทอดตัว ประชาชนจะนิยมชมชื่นหรือไม่
ปลายปี 2561 คงมีคำตอบอย่างเป็นรูปธรรม