การเมือง ร้อนรุ่ม การเมือง พลังประชารัฐ เสาร์ 21 ธันวาคม
คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง
พลังประชารัฐ – สปอตไลต์ทางการเมืองกำลังฉายจับไปยังสถานะและความมั่นคงในตำแหน่งเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ของ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์
จะอยู่ หรือ จะไป
ท่าทีอันปรากฏจากภายในพรรคพลังประชารัฐ ในขณะนี้มีความแจ่มชัดยิ่งขึ้นเป็นลำดับว่าน่าจะต้องไปมากกว่าน่าจะได้อยู่
เป็นคลื่นใหญ่ ลมแรงจาก “สามมิตร”
แม้ว่าจะมีความพยายามชูธงโต้กระแสทวนจาก “รองนายกรัฐมนตรี” ที่มีความชมชอบ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ แต่ก็ยากเป็นอย่างยิ่งที่จะต้านได้
ตอนนี้ปรากฏรายชื่อคนที่จะมาแทนที่เสร็จสรรพว่าน่าจะเป็น นายอนุชา นาคาศัย ซึ่งทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่มากับ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน
ยืนยันด้วยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เห็นด้วย
หากการประชุมใหญ่พรรคพลังประชารัฐมีการเปลี่ยนตัวเลขาธิการพรรคจาก นายสนธิรัตน์ สนธิ จิรวงศ์ เป็น นายอนุชา นาคาศัย จริง
ก็เท่ากับสะท้อนว่าไผเป็นไผในพรรคพลังประชารัฐ
นี่ก็เท่ากับเป็นการรุกคืบครั้งใหม่ของ “กลุ่มสามมิตร” ไม่เพียงแต่ต่อ “กลุ่มสี่ยอดกุมาร” เท่านั้น หากแต่ยังหมายถึงต่อ “กลุ่มกปปส.” จากพรรคประชาธิปัตย์ด้วย
คงยังจำกันได้ว่า การพิจารณารายชื่อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ มีการต่อสู้เพื่อชิงอันดับ 1 ระหว่าง นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ กับ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ
ผลก็คือ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ชนะ
ภายหลังการเลือกตั้ง ภายหลังการเลือกนายกรัฐมนตรี มีการต่อสู้เพื่อชิงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน อันถือเป็นกระทรวงเกรดเอ
ระหว่าง นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ กับ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ
ผลก็คือ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ได้ไป โดย นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ไปอยู่กระทรวงศึกษาธิการ ขณะที่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ไปอยู่กระทรวงอุตสาหกรรม
ถามว่าเมื่อมีกระแสเรียกร้องกดดันเหตุปัจจัยอะไรทำให้ “รองนายกรัฐมนตรี” พยายามที่จะรักษาตำแหน่งเลขาธิการพรรคให้กับ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อย่างเต็มกำลัง
ตอบว่าเพราะสำเหนียกรู้
สำเหนียกรู้ว่าหากสามารถเปลี่ยนตัวเลขาธิการพรรคได้ก็หมายถึงความสามารถที่จะเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรค และที่สุดก็จะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนตำแหน่งต่างๆ ในรัฐบาล
สถานีสุดท้ายอยู่ที่ “การปรับครม.”