คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง
ไม่ว่าท่าทีอันมาจาก “ทหาร” ไม่ว่าท่าทีอันมาจาก “ตำรวจ” ต่อกัมปนาทแห่งระเบิดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้ามากด้วยความระมัดระวัง
ไม่ผลีผลาม ไม่ฟันธง
หากเปรียบเทียบกับหลังกัมปนาทระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์ หากเปรียบเทียบกับหลังกัมปนาทระเบิดบนเกาะสมุย สุราษฎร์ธานี
เปี่ยมด้วยความสุขุม มากด้วยคัมภีรภาพ
อาจเพราะเป็นระเบิดซึ่งเกิดขึ้นในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า อันอยู่ในสังกัดของกองทัพบก และตั้งอยู่ใจกลางมหานคร และเกิดขึ้นกลางวันแสกๆ
นี่เท่ากับแหย่เข้าไปใน “รังเสือ”
ยิ่งกว่านั้น ยังเจาะจงซ่อนระเบิดไว้ในแจกันและไปวางไว้ในห้อง “วงษ์สุวรรณ” อันถือกันว่าเป็นห้องวีไอพีของนายทหารระดับสูงที่เกษียณจากราชการ
ยิ่งมากด้วยความอ่อนไหวในทางการเมือง
น้ำเสียงจึงให้ความสำคัญไปยังเป้าหมายอันเป็น “โรงพยาบาล” ซึ่งไม่ควรอย่างยิ่งที่จะวางระเบิด ดังคำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ว่า
แม้ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ไม่เคยเกิด
สะท้อนให้เห็นว่า มือระเบิดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า คำนึงแต่ผลในทางทำลายล้างฝ่ายตรงกันข้ามโดยไม่แยกจำแนกว่าจะเกิดอะไรกับประชาชนผู้บริสุทธิ์
คิดแต่เพียงจะดิสเครดิต “รัฐประหาร” และ “คสช.” อย่างสุดโต่ง
กระนั้น หากนำเอารายละเอียดอันเกิดขึ้นจากระเบิดที่แวดล้อมอยู่กับโรงพยาบาลทหาร และเน้นไปยัง “ห้องวงษ์สุวรรณ” ก็จะประจักษ์ในเป้าหมาย
ความเกลียดชังในทางการเมืองนี้รุนแรง ล้ำลึกยิ่ง
น่าสังเกตว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ตกเป็นเป้าหมายในการโจมตีทางการเมืองอย่างหนักหน่วงและอย่างเป็นระบบมาอย่างต่อเนื่อง
จากปลายปี 2559 มายังปี 2560
เป็นความต่อเนื่องจากข้อกล่าวหาในเรื่อง “อโลฮา ฮาวาย” แม้กระทั่งการซื้อ “เรือดำน้ำ” ก็ถูกลากเข้าไปสัมพันธ์
ทั้งนี้ รวมไปถึงบ่อนชายแดน รวมไปถึงเงื่อนงำของดิวตี้ฟรี
น่าสังเกตว่า กระบวนการโจมตี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มิได้เริ่มต้นและมาจากคนของพรรคเพื่อไทย หรือแม้กระทั่งนปช.คนเสื้อแดง
หากมาจากกลุ่มหนุนรัฐประหารตั้งแต่ปี 2549 กระทั่งปี 2557
อาจเป็นเพราะระเบิดอาจมีฐานมาจากคนที่เคยเชียร์รัฐประหารและรังเกียจกับบางองค์ประกอบ
ท่าทีไม่ว่าจะมาจาก “ทหาร” ไม่ว่าจะมาจาก “ตำรวจ” จึงมากด้วยความระมัดระวัง เพราะเห็นว่าล้วนเป็นคนกันเองจากขบวนการสนับสนุนรัฐประหาร
จึงไม่ผลีผลาม จึงไม่รีบฟันธง