คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง
น้ำเสียงอันมาจากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะของ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ไม่ว่าจะของ นายสาธิต ปิตุเตชะ ชี้ให้เห็นแนวโน้มและทิศทางในทางการเมือง
เป็นการเมืองอัน กรรมการบริหาร พรรคประชาธิปัตย์ยึดกุมอยู่
พลันที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เสนอ 4 คำถามว่าด้วยการเลือกตั้ง ว่าด้วยธรรมาภิบาล ผ่านรายการ ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
ก็เหมือนกับเป็นการโยน ก้อนหิน ลงไปในสระน้ำ
ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดอาการกระเพื่อมเป็นวงออกไปอย่างกว้างขวาง หาก ปฏิกิริยา ในลักษณะสวนกลับนั้นรุนแรงและแข็งกร้าวเป็นอย่างสูง
เป็นปฏิกิริยาโดยตรงไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ความหวังของบางคนอันเป็นแกนนำ กปปส. ที่จะเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีในระยะเปลี่ยนผ่านอย่างน้อย 4-5 ปี อาจกลายเป็นหมัน
ท่าทีเช่นนี้ไม่ว่าจะของ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ไม่ว่าจะของ นายสาธิต ปิตุเตชะ หรือแม้กระทั่ง นายวัชระ เพชรทอง เท่ากับสะท้อนอุณหภูมิภายใน
แม้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะไม่ได้ออกมาพูด
แต่เชื่อได้เลยว่า การรุกคืบเข้าไปภายในพรรคประชาธิปัตย์ของแกนนำ กปปส. เพื่อยึดกุมการนำภายในพรรคไม่น่าจะเป็นเรื่องง่ายดาย
แม้ เงินทุน จากเครือข่ายของกปปส.จะหนาแน่นอย่างยิ่งก็ตาม
และหากแกนนำ กปปส. ต้องการกุมการนำภายในพรรคประชาธิปัตย์อย่างเบ็ดเสร็จจะเปลี่ยนเพียงตำแหน่งเลขาธิการพรรคน่าจะไม่เพียงพอ
จำเป็นต้องรุกคืบไปยังตำแหน่ง หัวหน้าพรรค
ถามว่าเหตุใดท่าทีของแกนนำอันเป็นกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ชุดปัจจุบันจึงรุนแรง แข็งกร้าวและออกไปในทางปฏิเสธ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
คำตอบน่าจะมาจาก 3 ปีของ รัฐประหาร
3 ปีของรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เด่นชัดเป็นอย่างยิ่งว่าไม่ได้เป็น ผลดี หากแต่น่าจะเป็น ผลเสีย และด้วยอัตราที่รุนแรงเป็นอย่างสูง
ทำให้การไปห้อยโหนอยู่กับ คสช. อาจกลายเป็นปัญหา
การครองอำนาจยาวนาน 3 ปี ยิ่งทำให้คสช.และกระบวนการรัฐประหารกลับกลายเป็น จำเลย มากยิ่งขึ้นแม้ว่าใน 1-2 ปีแรกจะอยู่ในสถานะอันเป็น โจทก์
ตรงนี้ต่างหากที่พรรคประชาธิปัตย์จำเป็นต้องเลือก
จากนี้จึงควรย้อนกลับไปเปรียบเทียบระหว่างรัฐบาลเมื่อปี 2549 กับรัฐบาลเมื่อปี 2557
ทำไม พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ จึงอยู่เพียง 1 ปีก็รีบอำลาและเดินหน้าเลือกตั้งในเดือนธันวาคม 2550 แล้วก็จากไปอย่างเรียบร้อยและราบรื่น
หาก พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อยู่ต่ออีก 2 ปีจะเป็นอย่างไร