คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง

หากเริ่มต้นมองจากด้านสังขาร ร่างกาย ก็ต้องยอมรับว่า การปรากฏตัวของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สะท้อนการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด

แม้จะมีการชู 2 นิ้วในลักษณะ “สู้ สู้”

แต่ก็ต้องยอมรับในอากัปกิริยาที่เชื่องช้า และยิ่งส่องผ่านใบหน้า ดวงตา ก็จะสัมผัสได้ในความอิดโรย อ่อนแรง ได้

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องธรรมดาอย่างปรกติยิ่ง

ในเมื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ต้องประสบกับโรคาพยาธิสภาพต้องเข้ารับการรักษาตัวนับแต่วันที่ 22 พฤษภาคม เป็นต้นมา

ที่สามารถออกจากบ้านมาทำงานในวันที่ 29 พฤษภาคม ก็ถือว่ายอดเยี่ยม

ยอดเยี่ยมสำหรับคนในวัย 72 ปี ยอดเยี่ยมสำหรับคนที่เคยหกล้มอันเป็นของต้องห้ามอย่างยิ่งยวดของผู้อยู่ในวัยสูงอายุ

เหมือนกับว่า แม้จะเผชิญกับโรคพยาธิสภาพ แต่ก็มิได้หมายความว่าจะมีอะไรกระทบต่อสถานะทางการเมืองของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

แน่นอน ทุกอย่างยังไม่มีอะไรแปรเปลี่ยน

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยังนั่งอยู่ในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และยังนั่งอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

ยังกำกับและดูแลทางด้าน “ความมั่นคง”

บทบาทที่เห็นชัดก็คือ ยังนั่งอยู่ในสถานะอันเป็นประธานในการประชุมสภากลาโหม และยังสั่งการตำรวจและทหารให้เดินหน้าในเรื่องระเบิดต่อไป

คำถามก็คือ สถานะในทางสังคมและการเมืองเล่า

พลันที่กัมปนาทแห่งระเบิดกึกก้องขึ้นมาจาก “ห้องวงษ์สุวรรณ” ภายในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ความรู้สึกต่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ไม่น่าจะเหมือนเดิม

เพราะระเบิดนี้คือการกระหน่ำไปยัง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

เหมือนกับเอาวันที่ 22 พฤษภาคม มาเป็นเป้า เหมือนกับเอาโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า มาเป็นเป้า

แต่คำถามก็คือ ทำไมต้อง “ห้องวงษ์สุวรรณ” เล่า

ยิ่งหากมองเหมือนที่ตำรวจและทหารสรุปว่า ระเบิดเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม สัมพันธ์กับระเบิดเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม และสัมพันธ์กับระเบิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน

ยิ่งมีแรงสะเทือนลึกซึ้งและกว้างขวาง

ยอมรับเถิดว่าสถานะของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นับแต่วันที่ 22 พฤษภาคม จะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

การลูบคมของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จึงเท่ากับเป็นการลูบคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงเท่ากับเป็นการท้าทายต่อสถานะและบทบาทของคสช.และรัฐบาลโดยตรง

เป็นการสื่อสารผ่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นสำคัญ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน