คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง
การสัประยุทธ์ระหว่างแกนนำกปปส.ระดับ นายวิทยา แก้วภราดัย กับ ปมการซื้อขายตำแหน่งในกระบวนการโยกย้ายตำรวจ
ถือได้ว่าเป็น ปม อันระอุด้วยความร้อนแรง
เหมือนกับว่า นายวิทยา แก้วภราดัย จะออกโรงในเรื่องนี้เพราะผลสะเทือนจากการที่มีการฟ้องร้อง นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ที่ตั้งคำถามว่า ตำรวจมีเอาไว้ทำไม
บทบาทของ นายวิทยา แก้วภราดัย เท่ากับเป็น กองหนุน ให้
เพราะว่า นายวิทยา แก้วภราดัย ก็เคยเป็นสปท.และเคยร่วมอยู่ในวงศึกษาเรื่องการปฏิรูปตำรวจเช่นเดียวกับ นายสังศิต พิริยะรังสรรค์
โจทย์การเมืองนี้จึงสัมพันธ์ไปถึง พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป
ต้องมองอย่างเห็นความสัมพันธ์ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป กับ นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ และ นายวิทยา แก้วภราดัย จึงจะเข้าใจ
พลันที่เห็นรายชื่อ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป โยงเข้ากับ นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ก็ต้องตระหนักว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ยาวอย่างแน่นอน
ยาวไปยังก่อนรัฐประหารเดือนกันยายน 2549
ยาวไปยังก่อนรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทบาทของ นายวิทยา แก้วภราดัย ในฐานะแกนนำกปปส. เคียงคู่มากับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และ นายถาวร เสนเนียม
อย่าได้แปลกใจหาก นายถาวร เสนเนียม จะออกมาหนุน
อาจกล่าวได้ว่า นี่เป็นความต่อเนื่องจากการเคลื่อนไหวภายใต้คำขวัญ ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง เพียงแต่เป้าหมายใหญ่ของ นายวิทยา แก้วภราดัย คือปฏิรูป ตำรวจ
และเริ่มจากปม ซื้อขายตำแหน่ง ในแวดวงสีกากี
หลายคนกำลังจับตาติดตามว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะมีท่าทีอย่างไรต่อประเด็นที่ นายวิทยา แก้วภราดัย ออกมาเปิดและกำลังลุกลาม
ลุกลามไปยัง เก้าอี้ ของ ผบช.ภ.8
ในฐานะที่เมื่อดำรงตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีล่าสุด นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้รับมอบหมายให้กำกับและรับผิดชอบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.)
จึงมีความรอบรู้ในเรื่อง ตำรวจ อย่างเป็นพิเศษ
หากเทียบกับความรอบรู้ที่ นายวิทยา แก้วภราดัย มีอยู่ในมือ ต้องถือว่าความรอบรู้ที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ตุนเอาไว้มากกว่า
ประเด็นอยู่ที่ว่าเมื่อไรจะงัดออกมาแสดงเท่านั้น
ไม่ว่าจะมองผ่านบทบาทของอดีตสปท. ไม่ว่าจะมองผ่านบทบาทของแกนนำกปปส.ล้วนทรงความหมาย
อย่างน้อย นายวิทยา แก้วภราดัย ก็เคยเป็นสปช. และต่อมาก็เป็นสปท. เท่ากับว่าเคยร่วมลงเรือแป๊ะในฐานะที่เป็น 1 ใน แม่น้ำ 5 สาย หลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
นี่จึงเป็นความขัดแย้งภายใน พวกเดียวกัน นั่นเอง
