วิเคราะห์การเมือง
หากดูจากการจัดตั้งคณะพนักงานสอบสวนสืบสวนคดีฆาตกรรมยกครัวที่ อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ ต้องยอมรับว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติทุ่มเต็มที่
เห็นได้จากบทบาท พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา
ไม่เพียงแต่จะลงไปเป็นประธานในการประชุมที่จังหวัดกระบี่อย่างต่อเนื่อง หากแต่ยังแวดล้อมด้วยนายตำรวจระดับ พล.ต.อ.ถึง 3 ท่าน
เป็นพล.ต.อ.ในตำแหน่ง “รองผบ.ตร.”
เป็นรูปธรรมว่าคดีนี้ใหญ่และมีความสำคัญ ชี้ขาดถึงศักยภาพและความหมายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยตรง จำเป็นต้องมีคำตอบที่มีประสิทธิภาพ
ไม่อาจเตะถ่วง รั้งดึงแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ
ต้องยอมรับว่าบทบาทของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ในเชิงสืบสวนสอบสวนมีความโดดเด่นและเป็นที่ยอมรับในแวดวงเจ้าหน้าที่ตำรวจและประชาชน
เห็นได้จาก “ผลงาน” ตั้งแต่ยังเป็น “รองผบ.ตร.”
ไม่ว่าผลงานการสืบสวนคดีวางระเบิดศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์ ไม่ว่าผลงานการสืบสวนคดีคาร์บอมบ์บนเกาะสมุย สุราษฎร์ธานี
ดำเนินไปตามพยานหลักฐาน มั่นแน่ว
แม้จะมีความโน้มเอียงในทางการเมืองพยายามเข้ามาชี้นำ กำกับ แต่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ก็ไม่หวั่นไหวและวอกแวก
ยังเดินหน้าด้วยท่วงทำนอง “ตำรวจอาชีพ”
กรณีฆาตกรรมยกครัวที่ อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ เป็นเรื่องอึกทึก ครึกโครมและมีความอ่อนไหวอย่างเป็นพิเศษในทางการเมืองเพราะผู้ตายเป็นผู้ใหญ่บ้าน
ทั้งบรรดาฆาตกรก็ปรากฏตัวในชุด “ลายพราง”
ลักษณะการสังหารดำเนินไปอย่างมีการวางแผน ตระเตรียมอย่างรัดกุม โดยเฉพาะหลักฐานต่างๆ ก็จะถูกลบล้างทำลายอย่างผู้ที่เข้าใจเส้นสนกลในของกระบวนการสอบสวน
เป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องที่จะต้องมีอุปสรรคแน่นอน
เมื่อนำเอากรณี “ลายพราง” ประสานเข้ากับ “อาวุธสงคราม” และเด่นชัดยิ่งว่านำเข้ามาจากภาคส่วนอื่นมิใช่ในพื้นที่ภาคใต้ จึงยิ่งละเอียดอ่อน
จำเป็นที่ “ผบ.ตร.” จะต้องลงมาเล่นด้วยตัวเอง
น่ายินดีที่เพียงไม่กี่วันรูปของคดีก็เริ่มแผ่แบ สร้างความอุ่นใจให้กับชาวบ้านเป็นอย่างสูงว่าจะสามารถสาวลึกไปถึงตัวกลุ่มฆาตกรได้
เท่ากับสร้างผลงานให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ขณะเดียวกัน ก็สร้างความมั่นใจในความเป็น “ตำรวจอาชีพ” ในบรรยากาศและแรงกดดันในประเด็น “ปฏิรูปตำรวจ” อันเข้มข้น
เด่นชัดว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ยืนเป็นหัวแถว