คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง
เบื้องหน้าร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
นำไปสู่การแยกกลุ่ม แตกขั้วในทางการเมือง
ระหว่างความเห็นจากคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ระหว่างความเห็นจากสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดำเนินไปอย่างเป็นเอกภาพ
มีความเชื่อมั่นเป็นอย่างสูงว่าน่าจะ “ปราบโกง” ได้อย่างชะงัด
ขณะเดียวกัน ความเห็นอันทยอยออกมาจากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ว่าจะเป็น นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ล้วนเดินไปในแนวเดียวกันกับของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญและสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
และสวนทางอย่างสิ้นเชิงกับเสียงอันมาจากพรรคเพื่อไทย
การยืนอยู่คนละมุมระหว่างคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กับนักการเมืองจากพรรคเพื่อไทย
สามารถเข้าใจได้ ไม่นอกเหนือการคาดคิด
เพราะไม่ว่า คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ เพราะไม่ว่าสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งในเครือข่ายแห่ง “แม่น้ำ 5 สาย” อันงอกขึ้นมาจากคสช.
ย่อมเดินไปตามแนวทางที่คสช.กำหนด
ท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์จึงสะท้อนให้เห็นความโน้มเอียงของพรรคประชาธิปัตย์อย่างเด่นชัดว่าเอนไปในทิศทางใด
นั่นก็คือ เอนไปในทางเดียวกันกับ “คสช.”
การที่พรรคประชาธิปัตย์เอนไปทางคสช. การที่พรรคเพื่อไทยออกมาคัดค้าน ต่อต้าน อย่างชนิดที่ฝ่ายของคสช.สรุปว่า “ดิ้นพล่าน” เป็นเรื่องที่สำคัญ
สำคัญว่าทิศทางของ “คสช.” คืออะไร
ยิ่งเมื่อพรรคประชาธิปัตย์แสดงออกในเชิงเห็นด้วยและหนุนแนวทางของคสช.อย่างเต็มพิกัด ยิ่งทำให้ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีทิศทางที่แน่วแน่ ชัดเจน
นั่นก็คือ ทิศทางที่จะมาทำให้บทสรุปของรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 เป็นรัฐประหาร “เสียของ” ได้รับการถม
โดยกระบวนการของรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557
ในเมื่อเป้าหมายของร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญเท่ากับตัดกำลังของพรรคเพื่อไทย นั่นหมายถึงโอกาสของพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้พรรคเพื่อไทยมิอาจขยับ ขับเคลื่อนได้อย่างปลอดโปร่ง
ทั้งหมดจึงเป็นผลดีต่อพรรคประชาธิปัตย์ เป็นปัจจัยที่จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์อยู่ในสถานะอันเหนือกว่าพรรคเพื่อไทย
นี่คือการชิงความได้เปรียบในทางการเมือง