คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง
หากมองบาทก้าวของ “คสช” ในเรื่องกำชับผ่าน “กกล.รส.” ประสานกับการเคลื่อนไหวของ 1 สนช. 1 กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี ในเรื่อง “ค่าหัว” มวลชนรับจ้าง
เหมือนกับมีการสอดรับและ “ประสาน” กัน
เพราะมาตรการกำชับผ่าน “กกล.รส.” ทั้ง 4 กองทัพภาคจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีสีสันจากจำนวนเงิน 1,500 บาทต่อหัว
นี่คือ ประเด็นที่จะต้องแจ้งต่อ “ผู้นำ” แต่ละชุมชน
เช่นเดียวกับ มาตรการรุกจากกระทรวงการคลังผ่านกรมบังคับคดีให้มีการอายัดและยึดทรัพย์จากบัญชีธนาคารของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นี่คือ การตระเตรียมเพื่อทำอย่างเข้มหลังวันที่ 25 สิงหาคม
ช่องว่างรอยโหว่จากแผนปฏิบัติการก่อนประกาศ “กรกฎ 52” ออกมาเพื่อจัดการนับแต่วันที่ 1 สิงหาคม เป็นต้นไป คือ การมิได้คาดหมายในเรื่องผลสะเทือนด้านลบ
เพราะว่ามองเห็นแต่ “ด้านบวก”
เพราะว่ามองเห็นแต่ความสะสาในอารมณ์จากพวกและฝ่ายของตัวเองที่อยากให้จัดการกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้รู้ดำรู้แดงไปเลย
แต่ลืมไปว่าเรื่องนี้ได้เข้าสู่พรมแดนของ “อารมณ์” แล้ว
หากมีความรอบคอบและรัดกุมอย่างเพียงพอก็น่าจะจับได้จากการหลั่งน้ำตาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บนยอดภูเขาทอง วัดสระเกศ ได้
นั่นคือ เรื่องของ “อารมณ์” เรื่องของ “หัวใจ”
ความละเอียดอ่อนอย่างยิ่งในสังคมไทย คือ ความโน้มเอียงที่จะสงสารฝ่ายที่ถูกรุกไล่และเล่นงานอย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่า “บ้านทรายทอง” ไม่ว่า “ดอกโศก”
ก่อนรัฐประหารเมื่อมีการออกมา “เล่นงาน” น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในเรื่องโฟร์ซีซั่น ในเรื่องพูดผิด พูดถูก บางคนถึงกับด่าว่าหยาบๆ คายๆ ถึงขั้นว่าอีโง่ หรือ GAREE
ตอนนั้นมีคนจำนวนไม่น้อยคล้อยตามไปด้วย
แต่หลังจากถูกรุกไล่อย่างหนักหนาสาหัสจากกระบวนการรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ความสงสาร ความเห็นอกเห็นใจจึงเริ่มก่อตัวขึ้น
ยิ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดทน อดกลั้น ความเห็นใจยิ่งทะลักทลาย
จากการกำหนดรายละเอียดและขั้นตอนปฏิบัติการตาม “แผนกรกฎ 52” สายตาก็มองไปภายนอกมากกว่าที่จะเริ่มต้นสำรวจจาก “ภายใน”
เพราะการปล่อยในเรื่อง “กกล.รส.” ประสานกับ “ค่าหัว”
เพราะการรุกกระหน่ำของกระทรวงการคลัง ประสานเข้ากับปฏิบัติการอย่างเฉียบขาดของกรมบังคับคดีนั่นแหละ คือ เชื้อ
เหมือนกับสาดน้ำมันเข้าไปในกองไฟแห่งความสงสาร เห็นอกเห็นใจ