ไม่ว่าเสียงอันมาจากพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าเสียงอันมาจากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าเสียงอันมาจากพรรคชาติไทยพัฒนา เป็นเสียงเดียวกัน
นั่นก็คือ เรียกร้องในเรื่อง “ปลดล็อก”
นี่เป็นเสียงที่สามารถเข้าใจได้ แม้ว่าจะมิได้เป็นเสียงอันเพิ่งเกิดขึ้นหากดังกระหึ่มตั้งแต่ก่อนและหลังเดือนเมษายน 2560 มาแล้ว
ยิ่งใกล้จะครบกำหนด 240 วันจึงยิ่งกระหึ่ม
เพราะว่าการปลดล็อกสัมพันธ์กับ “พรรคการเมือง” โดยตรง โดยเฉพาะพรรคที่มีสำนึกในทางการเมือง เว้นก็แต่พรรคอันเป็น “ลูกหาบ” และ “หางเครื่อง” ให้คนอื่นเท่านั้นที่นิ่งเฉย
นิ่งเฉยเหมือนทองไม่รู้ร้อน
ถามว่ามีพรรคการเมืองที่ต้องการแสดงตนในฐานะ “ลูกหาบ” หรือ “หางเครื่อง” ดำรงอยู่หรือไม่ในบรรยากาศอันเข้มข้นและคึกคักทางการเมือง
ตอบได้เลยว่า “มี”
สภาพและความเป็นจริงเช่นนี้สัมผัสได้ไม่ยาก เพียงแต่สังเกตว่าเคยเห็นบรรดา “ไอ้ห้อย ไอ้โหน” น้อยใหญ่ออกมาพูดว่าควรเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองได้เตรียมความพร้อมก่อนที่การเลือกตั้งตามโรดแม็ปจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่
ไม่มี และพรรคการเมืองประเภท “ลูกหาบ” และ “หางเครื่อง” ก็เป็นเช่นนี้
ที่เป็นเช่นนี้เพราะบรรดา “ลูกหาบ” และ “หางเครื่อง” ล้วนประเมินว่ายิ่งรั้งดึงการปลดล็อกพรรคการเมืองให้ยาวนานเพียงใด ยิ่งเป็นประโยชน์กับฝ่ายตน
ความไม่พร้อมของพรรคการเมืองจึงเท่ากับเป็นโอกาส
จึงเห็นได้ว่าท่าทีออมปากออมคำของบรรดา “ไอ้ห้อยไอ้โหน” จึงเท่ากับเป็นเงาสะท้อนความต้องการในการเชิงความได้เปรียบของบางพวก บางฝ่าย
ทั้งๆ ที่เนื้อหา “รัฐธรรมนูญ” ก็ปรากฏอย่างเด่นชัด
ทั้งๆ ที่ความพยายามอย่างเต็มเรี่ยวแรงไม่ว่าจะเป็น 1 กรธ. ไม่ว่าจะเป็น 1 สนช. ล้วนขยายความได้เปรียบให้ครอบคลุมอย่างกว้างขวาง
ทุกอย่างล้วนเป็นไปเพื่อต่อท่อและสืบทอด “อำนาจ”
ความได้เปรียบจากเงื่อนไขตลอด 3 ปีแห่งรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นเช่นนี้อย่างเด่นชัด ยังชิงความได้เปรียบอีกจากไม่ยอม “ปลดล็อก” พรรคการเมือง
ในที่สุดก็สะท้อนถึงความหวาดกลัวที่แฝงเร้นแอบอยู่ลึกๆ
ไม่มีใครรู้ว่าคสช.จะปลดล็อกให้กับพรรคการเมืองได้เมื่อใด แต่ที่แน่ๆ เชื่อว่าน่าจะหลังจากเดือนตุลาคมเป็นต้นไป
รู้ทั้งรู้แล้วเหตุใดพรรคการเมืองจึงต้องกดดัน
คำตอบไม่ลึกลับซับซ้อน ทุกพรรคการเมืองล้วนเกรงว่าจะมีการฉวยโอกาสยืดเวลาให้ยาวนานยิ่งไปกว่าเดือนตุลาคมนั่นเอง