เมื่อพูดถึงการต่อสู้โดยอาศัยความปรองดอง สมานฉันท์ เป็นเครื่องมือ ผู้คนมักยกตัวอย่างของ เนลสัน แมนเดลา จากแอฟริกาใต้ มาแสดง
ความจริง แมนเดลา มี “บทเรียน” มาหลายแนวทาง
เขาเคยต่อสู้ตามระบบ ตามกฎหมายมาก่อน แต่ชนชั้นปกครองที่มีอำนาจไม่เปิดโอกาสให้ได้ต่อสู้อย่างทัดเทียมกัน
ในสถานการณ์ 1 เขาจึงเลือกต่อสู้ด้วย “อาวุธ”
เนลสัน แมนเดลา อาจเลือกหนทางต่อสู้ด้วยอาวุธและมีความสัมพันธ์กับคอมมิวนิสต์ แต่เขาก็มิได้เป็นคอมมิวนิสต์และไม่เคยชอบแนวคิดในแบบคอมมิวนิสต์
เมื่อสู้ด้วยอาวุธระยะหนึ่งก็เลือกมาใช้หนทางสันติ
การหันมาอยู่ในแนวทางสันติวางอาวุธมาจากเงื่อนไข 2 เงื่อนไข 1 เขามองไม่เห็นว่าหนทางอาวุธจะประสบความสำเร็จ และ 1 เขาถูกจับกุม คุมขัง
ชนชั้นปกครองอาจคิดว่าตนเองทำถูกที่จับกุม คุมขัง
ชนชั้นปกครองอาจประเมินว่า การจับกุมคุมขังนั่นแหละทำให้หนทางต่อสู้ด้วยอาวุธหมดประสิทธิภาพ
และฝ่ายของตนจะยึดครองอำนาจไปได้อีกนานเท่านาน
ตรงกันข้าม การทำให้กระบวนการต่อสู้ด้วยอาวุธหมดพลังกลับนำไปสู่การต่อสู้อย่างสันติแต่ด้วยกระบวนการอันแยบยล ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
และทำให้แนวทางของ เนลสัน แมนเดลา ประสบความสำเร็จ
ความสำเร็จของแนวทาง เนลสัน แมนเดลา มิได้เกิดจากการวางปืนแล้วงอก่องอขิงอยู่ภายในที่คุมขัง รอความเมตตาจากผู้กุมอำนาจผิวขาว
ตรงกันข้าม แมนเดลา และพวกมิได้งอก่องอขิง
ตรงกันข้าม ขณะที่ด้าน 1 ชนชั้นปกครองกดขี่ ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ปราบปรามคนผิวสีด้วยรูปแบบต่างๆ นานา
ด้าน 1 ขบวนการของคนผิวสีก็มิได้ยอมจำนน
หากอาศัยเงื่อนไขที่ถูกกดขี่ ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ นั้นเองมาปลุกระดมประชาชนให้มองเห็นสภาพความเป็นจริงและเข้าร่วมในการเคลื่อนไหวต่อสู้
ในที่สุด แนวทาง เนลสัน แมนเดลา ก็ได้รับการเห็นด้วย
บทเรียนอย่างสำคัญจากชัยชนะของ เนลสัน แมนเดลา จึงสรุปได้ว่า แม้จะถูกจำขัง ณ คุก ก็สามารถแปรมาเป็นเวทีในการเคลื่อนไหว ต่อสู้ได้
แนวทางการเมืองมิได้หมายถึงการยอมจำนน
หากภายในความเงียบก็จะสามารถก่อให้เกิดพลัง ภายในความสงบก็แผ่พลานุภาพของมันออกไปอย่างกว้างขวาง