มาตรการที่นำมาใช้ต่อ กรณี 25 สิงหาคม ดำเนินไปเหมือนกับถอดพิมพ์เขียวมาจาก กรณี ประชามติ เมื่อเดือนสิงหาคม 2559
เพียงแต่โดย เป้าหมาย แตกต่างกัน
ก่อน กรณีประชามติ เมื่อเดือนสิงหาคม 2559 ไม่ว่ากระทรวงมหาดไทย ไม่ว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ว่ากองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย
ต่าง ออกโรง กันด้วยความคึกคัก หนักแน่น
เป็นความคึกคัก หนักแน่น เพื่อแสดงความชอบธรรม เหมาะสมที่จะรับ ร่างรัฐธรรมนูญ อันร่างขึ้นโดยกระบวนการแห่ง แม่น้ำ 5 สาย
แต่คราวนี้ต้องการให้อยู่กับบ้าน ไม่ต้องออกมา
ข้อเสนออันมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประสานเข้ากับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ต่อ กรณี 25 สิงหาคม ดำเนินไปในกระสวนเดียวกัน
การให้กำลังใจไม่ผิด แต่ไม่ควรออกมา
สภาพที่มีประชาชนเดินทางกันไปให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในวันแถลงปิดคดีด้วยวาจาเมื่อเช้าวันที่ 1 สิงหาคม สร้างความตื่นตระหนกเป็นอย่างสูง
มาตรการตาม แผนกรกฎ 52 จึงต้องเพิ่มความเข้ม
จึงได้ปรากฏทหารในเครื่องแบบเดินอยู่ในบางหมู่บ้านทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงได้ปรากฏการสกัดผ่านรถโดยสาร รถตู้ และสำหรับแกนนำบางคนไม่เพียงแต่ถูกประกบหากแต่ยังมีการกดดันให้เซ็นสัญญา
เป้าหมายก็คือ ไม่ต้องการให้เดินทางเข้ากทม.
ทั้งๆ ที่ไม่ว่ากระทรวงมหาดไทย ไม่ว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ว่ากองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ล้วนรับนโยบายมาอย่างเป็นระบบ เป็นกระบวนการ
แล้วเหตุใดยังมีการประเมินว่าจะมี มวลชน มามาก
คำว่ามากในที่นี้เป็นการประเมินอย่างเปรียบเทียบกับจำนวนที่ปรากฏในเช้าวันที่ 1 สิงหาคม ซึ่งอยู่ในราว 1,000
คำว่ามากกว่าในที่นี้จึงทะยานไปยัง 3,000 กว่า
ปริมาณนี้น่าสังเกตว่า เบื้องต้นเป็นการประเมินจากทหาร และต่อมาเป็นการเห็นด้วยจากตำรวจอันสะท้อนให้เห็นว่าทุกแผนทุกมาตรการที่ขับเคลื่อนไม่ได้ผล
หากได้ผลจะมีจำนวนถึงกว่า 3,000 ได้ละหรือ
ความละเอียดอ่อนเป็นอย่างมากก็คือ การเคลื่อนไหวอันมาจากคสช. และจากรัฐบาลแทนที่จะเป็นการสยบ ตรงกันข้ามกลับดำเนินไปในลักษณะกระพือ
เนื่องจากไม่เป็นธรรมชาติ
และที่สำคัญก็คือ การเคลื่อนไหวที่เห็นในหลายพื้นที่ทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ล้วนแย้งกับคำยืนยันที่ว่าไม่มีห้าม ไม่มีขวางอย่างแทบจะสิ้นเชิง