การจับและปล่อยตัว พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ อนุฤทธิ์ รองผบก.น.5 และคณะจากกองบังคับการตำรวจภูธร จังหวัดนครปฐม อาจสร้างความหงุดหงิดให้กับบางกลุ่มบางฝ่ายเป็นอย่างสูง

กระนั้น ทั้งหมดนั้นคือ กระบวนการทางกฎหมาย

“ตำรวจทั้ง 3 นายยังไม่มีความผิดทางอาญาในการพาหนี” เป็นคำยืนยันจาก พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร.

“เพราะขณะนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ได้มีหมายจับติดตัว”

ความเป็นจริงอันมาจากการสอบปากคำ พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ อนุฤทธิ์ ของเจ้าพนักงานสอบสวนก็คือ เป็นปฏิบัติการในคืนวันที่ 23 ต่อเนื่องถึงเช้าวันที่ 24 สิงหาคม ก่อนศาลจะออกหมายจับในตอนสายของวันที่ 25 สิงหาคม

นี่คือคำยืนยันจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ

หากพิจารณาจากรายละเอียด “คำให้การ” อันปรากฏผ่านรายงานของสื่อทุกฉบับในเช้าวันเสาร์ที่ 23 กันยายน ไม่ว่าภาษาไทย ไม่ว่าภาษาอังกฤษ

แสดงให้เห็นว่า นี่เป็นเรื่องที่มีการเตรียมการ

นี่มิได้เป็นเรื่องตัดสินใจในห้วง “วินาทีสุดท้าย” ตรงกันข้าม ไม่ว่าตัวบุคคล ไม่ว่าพาหนะ ล้วนมีการตระเตรียมและวางแผนมาแล้วอย่างรัดกุม

เริ่มต้นจากรถติดตราโล่ ตามด้วยรถคัมรี่

เดินทางออกจากกทม.ผ่านไปทางฉะเชิงเทราแล้วไปยังจังหวัดสระแก้ว จุดสุดท้ายอยู่ที่ อ.อรัญประเทศ ติดชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน

แล้วจากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ขึ้นรถกระบะหายตัวไป

กล่าวสำหรับตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เองก็มิได้เดินทางคนเดียวโด่เด่ ตรงกันข้าม มีการระบุว่ามีเลขานุการซึ่งเป็นเพศเดียวกันไปด้วย 1

ข้อสำคัญมิได้อยู่ที่มีการเปลี่ยนรถหลายครั้ง

หากการแต่งองค์ทรงเครื่องของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และผู้ติดตาม ยังใช้หน้ากากอนามัยปิดปาก ปิดจมูก ดูไม่ออกว่าเป็นใคร

เท่านั้นไม่พอ ยังสวมหมวกแก๊ปสีเข้ม

การใช้รถแต่ละคันก็โอ่อ่าอลังการ ทั้งเป็นรถเบนซ์ที่นั่งมาในเบื้องต้นแล้วเปลี่ยนเป็นคัมรี่ต่อเมื่อหลุดจากคัมรี่นั้นหรอกที่เป็นรถกระบะเพื่อความคล่องตัว

ทั้งหมดนี้ล้วนมีการวางแผน ล้วนมีการตระเตรียม

คำถามที่เกิดขึ้นและตามมาอย่างฉับพลันทันใด ไม่ว่าจะจากกองแช่ง ไม่ว่าจะจากกองเชียร์ก็คือ การตระเตรียมและวางแผนเช่นนี้เกิดขึ้นอย่างไร

ตั้งแต่เรื่องรถ ตั้งแต่เรื่องเส้นทาง

ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ การกำหนดบทบาทของตนเองของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพื่อให้คสช.และรัฐบาลเกิดสภาพตายใจ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน