แม้จะมีความพยายามอย่างเต็มเรี่ยวแรงเพียงใด แต่กรณีการหายตัวไปของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็มาพบทางตันเข้าอีกจนได้
เมื่อดีเอ็นเอในรถโตโยต้า คัมรี่ ไม่สามารถยืนยันได้
ยิ่งกว่านั้น นายตำรวจระดับรองผู้บังคับการยัง “พลิก” คำให้การที่เคยให้ไว้เมื่อถูกสอบสวนจากเจ้าพนักงานซึ่งเป็น “ทหาร” ในหนแรกกระทั่งกลายเป็นคนละเรื่อง
นั่นก็คือ ไม่แน่ใจว่าหญิงที่อยู่ในรถเป็น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือไม่
บทสรุปของคณะกรรมการสอบสวนสืบสวนคดีนี้ยังยืนยันข้อมูลที่ได้จากการสอบสวนครั้งแรกมากกว่าการสอบสวนครั้งที่ 2
แต่รายละเอียดของคนในรถก็เริ่มเป็นปม
หากประเมินจากคำยืนยันอย่างเฉียบขาดของหัวหน้าเจ้าพนักงานสอบสวนคดีการหายตัวไปของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ว่า
คดีนี้ “ไม่มีตอ” ทุกอย่างเป็นไปตาม “กฎหมาย”
ก็เพราะว่าทุกอย่างเป็นไปตาม “กฎหมาย” นั้นเอง ตราบกระทั่ง ณ วันนี้ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกจากประเทศไปได้อย่างไร
อยู่ๆ ก็ไปโผล่ที่นครดูไบ อย่างนั้นหรือ
แล้วที่มีกระแสข่าวระบุว่า จากไทยไปยังกัมพูชา จากกัมพูชาไปยังสิงคโปร์แล้วจึงไปยังนครดูไบนั้นมีความเป็นจริงอย่างไร
ปมสำคัญก็คือ ไม่ปรากฏ “หลักฐาน”
การที่มีข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บินออกจากนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และไปยังกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน
จึงกลายเป็นปริศนาอันดำมืด
อาจปรากฏจากรายงานของกระทรวงการต่างประเทศโดยเฉพาะหลักฐานจากนครดูไบ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานจากกรุงลอนดอน
เช่นเดียวกับไม่ปรากฏหลักฐานจากกัมพูชา หรือสิงคโปร์
นี่จึงมิได้สะท้อนว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อาจไม่ได้ใช้หนังสือเดินทางที่ออกโดยประเทศไทยเท่านั้น หากยังสะท้อนด้วยว่าประเทศที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผ่านทางให้ความร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศไทยมากน้อยเพียงใด
เป็นปัญหาในเรื่องสถานะทางการเมือง
ผลของความลึกลับดำมืดเช่นนี้เฉพาะหน้ากระทรวงการต่างประเทศอาจยึดคืนหนังสือเดินทางของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ตามระเบียบของกระทรวง
แต่การยกระดับ “หมายน้ำเงิน” เป็น “หมายแดง”
ตามความมั่นหมายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่จะแจ้งไปยังอินเตอร์โพล หรือตำรวจสากลคงยังไม่สามารถเป็นจริง