ในบรรยากาศแห่งอาการฝุ่นตลบจากกระแสแห่ง การเคลื่อนไหวปรับครม.นับแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นต้นมา หากถามว่าคนที่มีความสุขที่สุดเป็นใคร
คำตอบน่าจะเป็น พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล
เพราะทันที่เดินทางไปยังตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นใบลาออกในตอนบ่ายของวันที่ 1 พฤศจิกายน และปรากฏเป็นประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ก็ขนข้าวขนของไปนิ่งสงบอยู่ที่บ้านอย่างเงียบเชียบ
แม้ว่าจะมีข่าวตามมาในกรณีการซื้อ “เครื่องสแกนม่านตา” ก็เป็นเรื่องของรัฐบาล เป็นเรื่องของรัฐมนตรี คนใหม่ เพราะการตัดสินใจ 1 ของการลาออกก็เนื่องจาก เรื่องนี้
เมื่อพ้นตำแหน่งไปแล้วก็ย่อมจะ “ลอยตัว”
ตรงกันข้าม บรรดารัฐมนตรีซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นพี่ของ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ต่างหากเล่าที่ยากเป็นอย่างยิ่งจะมีชีวิตอยู่ด้วยความสงบสุขได้เทียมเท่า
อย่างในกรณีของ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ เป็นต้น
ไม่เพียงแต่กระแสสังคมจะวิพากษ์และมีความเห็นร่วมกันว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์น่าจะเป็นเป้าหมาย 1 ในการปรับเปลี่ยน
เพราะว่าล้มเหลวในเรื่องราคาสินค้าทางด้านการเกษตร
หากแม้กระทั่งมีข่าวว่าอาจเปลี่ยนจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปดำรงตำแหน่งในกระทรวงแรงงานก็ไม่แน่ว่าจะเป็นที่สบอารมณ์หมายหรือไม่
เนื่องจาก “เกรด” ของกระทรวงต่างกัน
การพุ่งเป้าปรับครม.โดยเน้นไปยังกระทรวงทางด้านเศรษฐกิจ นอกจากสร้างความรู้สึกที่ว่ารัฐบาลไม่สามารถบริหารจัดการทางด้านเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ยังทำให้รัฐมนตรี “สายทหาร” นั่งไม่สงบ
เพราะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็มีรัฐมนตรีเป็น “พลเอก” เพราะกระทรวงพลังงานก็มีรัฐมนตรีเป็น “พลเอก”
ยิ่งมีชื่อของอดีตปลัดกระทรวงพลังงานโดดเด่นขึ้นมา ยิ่งหวาดเสียว
ยิ่งชาวไร่ชาวนาต้องประสบสภาวะน้ำท่วม ประสานเข้ากับผลผลิตทางด้านข้าว ทางด้านยางพาราราคาตกต่ำอย่างต่อเนื่อง
ยิ่งทำให้ต้องหลบแม้กระทั่งสายตาของ “นักข่าว”
การดำรงอยู่ของรัฐมนตรี “สายทหาร” เก้าอี้จึง ไม่แข็งแกร่งและมั่นคงเหมือนกับที่เข้ามาในห้วงหลังรัฐประหาร เมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 หมาดใหม่
ตอนนั้นทุกคนต่างเปี่ยมด้วยความมุ่งหวัง
เข้าทำนอง “ข้าวใหม่ปลามัน” ไม่ว่าจะขยับไปไหนได้รับการส่งเสียงเชียร์อย่างคึกคัก ซึ่งตรงกันข้ามกับบรรยากาศอันกำลังเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนอย่างสิ้นเชิง
รัฐมนตรี “สายทหาร” กลายเป็น “ตำบล กระสุนตก”