คำถามจาก พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ที่ว่า ไม่เข้าใจว่าทำไมรังเกียจทหารกัน อาจเกิดขึ้นในบรรยากาศแห่งการปรับครม.
แต่ก็มากด้วยความแหลมคม
แหลมคมเพราะเป้าหมาย 1 ในการเรียกร้องให้ปรับ คือ การเอา พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เป็นเสียงเรียกร้องในทาง สังคม
เพราะประเมินว่าล้มเหลวในการแก้ไขปัญหา 1 ราคาสินค้าเกษตร ไม่ว่าจะเป็นข้าว ยางพารา และอีกความล้มเหลว 1 คือ การไม่มีมาตรการอย่างเพียงพอเมื่อเผชิญกับปัญหาน้ำท่วม
จึงเรียกร้องให้ปรับ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ออก
ความจริงจะว่าข้อเรียกร้องที่เกิดขึ้นในทางสังคมว่าเป็นเพราะ รังเกียจทหาร ก็อาจไม่ถูกต้องมากนัก เพราะเป้าพุ่งไปยังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
หากว่ามี ผลงาน โดดเด่นคงไม่เกิด คำถาม
บังเอิญที่ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ เป็น ทหาร ทั้งยังเป็นเพื่อนกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช. หัวหน้ารัฐบาล
การตั้งข้อสังเกตจึงดำเนินไปอย่างชนิด บานปลาย
ยิ่งหากมองไปว่า พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์แล้ว จึงเข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ยิ่งเป็นเรื่อง ยิ่งเป็นประเด็น
การตั้งข้อสังเกตในลักษณะบานปลายไปถึงขั้น ทำไมรังเกียจทหาร จึงเท่ากับเป็นการขยายประเด็น เป็นการขยายเรื่องราวมากเกินไป
แท้จริงแล้วมีอยู่เรื่องเดียว คือ ความล้มเหลว
ไม่ว่ารัฐมนตรีคนนั้นจะเป็นทหาร ไม่ว่ารัฐมนตรีคนนั้นจะเป็นพลเรือน หากไม่สามารถแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรได้เกษตรกรก็ย่อมเดือดร้อน
หากไม่สามารถบริหารจัดการ น้ำท่วม ได้ชาวบ้านก็ย่อมมีความรู้สึก
ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าสินค้าเกษตรไม่ว่าข้าว ไม่ว่ายางพารา ก่อปัญหาจริงหรือไม่ การเกิด น้ำท่วม ไหลหลากสร้างความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรและชาวบ้านจริงหรือไม่
หากว่าเป็นจริงก็จำเป็นต้องยอมรับ
ไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าโฉมของการปรับครม.ประยุทธ์ 6 จะออกมาอย่างไร เพราะเป็นเรื่องในความรับผิดชอบของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยตรง
ใหญ่ระดับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยังไม่กล้าตอบ
กระนั้น องค์ประกอบ ใหม่ ของครม.ที่จะมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ออกมาก็ย่อมจะชี้ทิศทางแห่งความคิดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคสช.ได้เป็นอย่างดี
เพราะนี่คือขั้นตอนสุดท้ายแล้วของรัฐบาล