จากวันที่ 1 พฤศจิกายน ที่ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมาถึงวันที่ 24 พฤศจิกายน สะท้อนออกอย่างเด่นชัดถึงกระบวนการปรับครม.
แน่นอนว่า มิได้ปรับเพียง 1 ตำแหน่ง
เพราะหากว่ามุ่งปรับเพียง 1 ตำแหน่งเสาะหาคนเข้าไปดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานก็เรียบร้อย
แต่นี่เริ่มมีอาการขยับของหลายรัฐมนตรีก็บ่งบอก
อย่างน้อยการที่มี “มวลชน” ถึง 3 ระลอกทยอยถือดอกไม้แดง พร้อมกับแผ่นป้ายเข้าไปยังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็ยืนยันว่าสถานะของรัฐมนตรีในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อาจจะไม่มั่นคงเสียแล้ว
ที่โหรระบุว่าต้องปรับไม่ต่ำกว่า 10 น่าจะจริง
อย่าไปตำหนิสื่อเลยว่า ไม่ว่าสื่อหนังสือพิมพ์ ไม่ว่าสื่อออนไลน์ ล้วนให้ความสนใจต่อกระบวนการปรับครม.ด้วยกันทั้งสิ้น
ยิ่งเป็นรัฐบาลที่มาจาก “รัฐประหาร” ยิ่งต้องสนใจ
เพราะโดยพื้นฐานแล้วรัฐบาลอันมาจากกระบวนการรัฐประหารต้องมีความแข็งแกร่งและมั่นคงอย่างเป็นพิเศษ เพราะได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ จากข้าราชการ ทั้งยังมีมาตรา 44 อยู่ในมือ
การปรับครม.จึงเท่ากับเป็นการยอมรับว่ามี “จุดอ่อน”
เป็นจุดอ่อนอันเนื่องจากความขัดแย้งระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกับรัฐบาล เพราะหากไม่มีความขัดแย้งคงไม่จำเป็นต้องยื่นใบลาออก
และจากจุดอ่อนนี้ก็ดำเนินไปอย่างล่อแหลมต่อการบานปลาย
อาการบานปลายภายในกระบวนการปรับครม.มาจากสาเหตุใด ตอบได้เลยว่า 1 มาจากเหตุผลที่ต้องการปรับขนาดใหญ่ มีโอกาสที่จะต้องโยกย้ายมากกว่า 10 ตำแหน่ง
เมื่อมีมากถึง 10 ตำแหน่งก็ยากต่อการจัดแถว
จากปัจจัยข้างต้นนั้นเองนำไปสู่อีกสาเหตุ 1 ซึ่งน่าเป็นห่วง นั่นก็คือ กระบวนการปรับครม.ทำท่าว่าอาจจะยืดเยื้อและยาวนาน
จาก 1 เป็น 2 และเข้าสู่สัปดาห์ที่ 3
เมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 ก็จะมองเห็นได้ว่า บรรดาข้าราชการในกระทรวงซึ่งเป็นเป้าหมายไม่มีอันที่จะมีสมาธิในการทำงาน เพราะต้องคอยลุ้นว่าหวยจะออกมาอย่างไร
นั่นก็นำไปสู่สภาพการณ์ 1 ที่เรียกว่าเกิด “เกียร์ว่าง”
พลันที่กระบวนการปรับครม.ขยายจากภายในเดือนพฤศจิกายนเริ่มแจ่มชัดว่านายกรัฐมนตรีได้นำรายชื่อครม.ใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯ
ทุกฝ่ายก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ไม่เพียงแต่บรรดารัฐมนตรีเก่าที่จะถูกขอร้องให้ออก ไม่เพียงแต่รัฐมนตรีใหม่ที่จะเข้ามา ไม่เพียงแต่ข้าราชการที่รอคอย
หาก “ประชาชน” และ “ชาวบ้าน” ต่างก็ดีใจ