กรณีการเชิญตัวแกนนำเกษตรกรชาวสวนยาง ไม่ว่าจะที่ตรัง ไม่ว่าจะที่พัทลุง และไม่ว่าจะที่ชุมพร เข้าไป “ปรับทัศนคติ” ในค่ายทหารกำลังเป็นประเด็นแหลมคมยิ่งในทางการเมือง
ไม่ใช่ประเด็นว่าสามารถ “สกัด” การเคลื่อนไหวได้หรือไม่
หากที่สำคัญเป็นอย่างมากยังอยู่ที่ว่า “มาตรการ” ทางการทหาร ทางด้านความมั่นคงเช่นนี้จะสามารถแก้ปัญหาและตอบคำถามให้กับเกษตรกรชาวสวนยางได้หรือไม่
เพราะดำเนินไปในแบบ “ยับยั้ง” ได้ในลักษณะ “ชั่วคราว”
นั่นก็คือ ความอึกทึกครึกโครมอย่างที่เคยสัมผัสได้ไม่ว่าที่สงขลา ไม่ว่าที่นครศรีธรรมราช ไม่ว่าที่กระบี่ ไม่ว่าที่สุราษฎร์ธานี ก็เงียบลงไปได้ในระดับ
กระนั้น ปัจจัยชี้ขาดอย่างแท้จริงยังอยู่ที่ “ราคา”
ต้องยอมรับว่าก่อนการเคลื่อนไหวบรรดาแกนนำเกษตรกรชาวสวนยางทั้งหลายคงผ่านการขบคิดและพิจารณามาแล้วด้วยความรอบคอบ
เพราะว่าสภาพที่เกิดขึ้นมิได้เป็นเรื่องใหม่
ตรงกันข้าม เป็นสภาพที่ดำรงอยู่ในห้วงหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 มาแล้ว และมีความต่อเนื่องในลักษณะมีแต่เสื่อมทรุดมิได้ดีขึ้น
ในยุคที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รับผิดชอบงานด้านเศรษฐกิจก็เป็นเช่นนี้
ขณะเดียวกัน ความเดือดร้อนนี้ในเบื้องต้นก็ถูกสยบด้วยคำเตือนจากแกนนำกปปส. ที่ว่าอย่าเพิ่งเคลื่อนเพราะรัฐบาลหลังรัฐประหารเป็น “รัฐบาลของพวกเรา”
ผลก็คือ 3 ปีท่านมา รัฐบาลของพวกเราแก้ปัญหาไม่ได้
ความเป็นจริงนี้ดำเนินไปอย่างมีการบิดเบือนหรือขยายจนเกินจริงหรือไม่ บรรดาแกนนำเกษตรกรและโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวสวนยางพาราคงตอบได้
ทั้งหมดล้วนมาจากความเดือดร้อนโดยตรง
ไม่ว่าจะอ้างว่าเป็นเพราะผลกระเทือนจากเศรษฐกิจโลก ไม่ว่าจะตำหนิว่าเป็นเพราะการบริหารจัดการในเรื่องราคาผ่านกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
แต่ทั้งหมดก็เป็น “ความจริง” อันจริงแท้
และดูเหมือนว่ากระบวนการจัดการปัญหาโดยการเชิญเข้าค่ายทหารแล้ว “ปรับทัศนคติ” จะมิได้เป็นช่องทางที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
เนื่องจากความเดือดร้อนยังคงมีอยู่และอาจจะหนักขึ้น
บทเรียนอย่างสำคัญต่อเกษตรกรชาวสวนยางพาราต่อกรณีนี้จึงนำไปสู่อาการ “ตาสว่าง” ในทางความคิดเด่นชัดมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ
โยงไปยังการเคลื่อนไหวเมื่อเดือนกันยายน 2556 ที่ควนหนองหงษ์
โยงไปยังการเข้าร่วมการเคลื่อนไหวกับ “กปปส.” และ “พรรคประชาธิปัตย์” กระทั่งนำไปสู่มาตรการ “ชัตดาวน์” และรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ในที่สุด
หากสถานการณ์ทำให้ “ตาสว่าง” ได้ย่อมเป็นเรื่องดี