คำว่า “ขาลง” ได้กลายเป็นสร้อยเติมให้กับคำว่า “รัฐบาล” มากขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะหลังจากเกิดสถานการณ์ทางการเมืองในภาคใต้
เริ่มจากกรณีของเกษตรกรชาวสวนยาง
ตามมาด้วยหลายเรื่องราวที่แสดงออกในห้วงแห่งการประชุมครม.สัญจร เช่น เสียงตวาดที่ตลาดปลา ปัตตานี และการเข้าสลายการชุมนุมและจับกุมแกนนำ “เครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานีไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน” ที่แยกสำโรง สงขลา
แล้วลงเอยด้วยการปล่อยแสงใส่ร้ายป้ายสีให้กับ “แบมุส” เจื้อยแจ้ว
พลันที่ภาพแหวนและนาฬิกาหรูยี่ห้อ ริชาร์ด มิลล์ ปรากฏระหว่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอถ่ายภาพครม.ประยุทธ์ 5 หน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
ก็กลายเป็นเรื่องแบบระเบิด เถิดเทิง
ถามว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมี “ปรากฏการณ์” อย่างที่เห็นในพื้นที่ภาคใต้ หรืออย่างที่เห็นบริเวณหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เลยหรือ
มีแต่ก็มิได้อึกทึกแบบนี้
การเชิญตัวแกนนำชาวบ้านเข้าปรับทัศนคติในค่ายทหารมิใช่ว่าชาวตรัง ชาวพัทลุง หรือชาวชุมพรจะประสบเป็นรายแรก
ตรงกันข้าม ในภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคอีสานก็มีมาตลอด
ตรงกันข้าม การประชุมครม.สัญจรก่อนหน้านี้ก็เคยมีมาแล้ว ไม่ว่าจะในจังหวัดภาคกลาง จังหวัดภาคเหนือ จังหวัดภาคอีสาน
แต่ก็กลายเป็นเรื่องอึกทึกเมื่อไปเยือนภาคใต้
การออกโรงของ นายชวน หลีกภัย ต่อปัญหาอันเกี่ยวกับรายได้ครัวเรือนของภาคใต้ถดถอยจึงได้รับความสนใจอย่างเป็นพิเศษ
กระทั่ง ทำเนียบรัฐบาลต้องส่ง “โฆษก” ออกมาชี้แจง
สภาพการณ์ทั้งหมดนี้จึงถูกกวาดรวมเหมือนกับเป็นเงาสะท้อนอันแสดงให้เห็นถึงสภาวะ “ขาลง” ของรัฐบาลและของคสช.โดยเฉพาะนับแต่เดือนพฤศจิกายน เป็นต้นมา
ขณะเดียวกัน หากสำรวจตามความเป็นจริงของสถานการณ์ก็จะประจักษ์ว่า ภาวะถดถอย ขาลงของรัฐบาลนี้เกิดขึ้นขณะที่อำนาจยังอยู่ในมือของคสช.และของรัฐบาลอย่างเต็มเปี่ยม
ไม่มีพลังจากกลุ่มใดในทางการเมืองทำอะไรได้เลย
แม้หากมองจากพลานุภาพอาจถือได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ กปปส.หรือแม้กระทั่งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยังเป็นพลังที่ยืนต่อกรกับคสช.และรัฐบาลได้
แต่พลังการเมืองหรือพรรคการเมืองอื่นล้วนปวกเปียก
พรรคเพื่อไทยหรือนปช.แทบไม่ต้องกล่าว เพราะไม่เพียงแต่หัวขบวนถูกไล่รุกจนต้องหนีออกนอกประเทศ ที่เหลือบางส่วนก็อยู่ในที่คุมขังอันจำกัด
มีแต่คสช.และรัฐบาลเท่านั้นที่ยังแข็งแกร่ง มั่นคง