การเปิดตัว “ประชาธิปไตยไทยนิยม” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวาระวันเด็กแห่งชาติ ถือว่าเป็นการเปิดตัวอันเหมาะสม
เหมาะสมกับสถานการณ์ “ผมเป็นนักการเมือง”
เหมาะสมกับสถานการณ์ “ผมพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ” อันเปิดทางสะดวกให้กับ “คนนอก”
“คนนอก” ซึ่งหมายถึงไม่ต้องผ่าน “การเลือกตั้ง”
เหมาะสมกับสถานการณ์การนำเอาแนวทาง “ประชารัฐ” มาสร้างคะแนนนิยมและสอดรับกับการตระเตรียมในเรื่อง “พรรคประชารัฐ” ก่อนการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน 2561
ทุกอย่างเหมาะสมไปหมด แต่ก็ไม่แน่ว่าจะเป็น “บวก”
นี่ย่อมเหมือนกับความพยายามในการผลักดัน “รัฐธรรมนูญ” ผ่านกระบวนการของ “แม่น้ำ 5 สาย” ภายใต้อำนาจของมาตรา 44 และประกาศคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับแล้วฉบับเล่า
ถือได้ว่าเป็นการตระเตรียมในเรื่อง “สืบทอด” อำนาจ
ไม่เพียงแต่จะนำไปสู่การเป็นนายกรัฐมนตรี “คนนอก” ภายหลังการเลือกตั้ง หากแต่ยังทำให้อำนาจนั้นดำรงอยู่อย่างชนิดรากงอกไม่ต่ำกว่า 20 ปี
พิมพ์เขียวอันงดงามอย่างนี้ไม่ว่าใครล้วนต้องยิ้มมุมปาก
แต่พลันที่มีเสียงเตือนไม่ว่าจะมาจากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะมาจากพรรคชาติไทยพัฒนา ไม่ว่าจะมาจากพรรคเพื่อไทยในเรื่อง “กับดัก”
ก็ต้องระมัดระวังมากยิ่งขึ้นในการยิ้ม
หากดูจากความเชี่ยวชาญระดับ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประสานเข้ากับ นายวิษณุ เครืองาม และ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ทุกอย่างน่าจะราบรื่นยิ่งกว่ายืนอยู่บนเนินเขา
เพราะ 3 คนนี้ถือว่ายอดเยี่ยมในเรื่อง “กฎหมาย”
แต่พลันที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ออกมาร้องทุกข์และขอให้มีการปรับแก้ไขพ.ร.ป.ที่ว่าด้วยพรรคการเมือง
ก็จำต้องลงนามในคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 53/2560
เท่ากับพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ไปติดกับดักจากคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 57/2557 และมีความจำเป็นต้องออกคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 53/2560 เพื่อรีเซ็ตพรรคการเมืองเก่า
อันเท่ากับเปิดทางสะดวกให้กับพรรคการเมืองใหม่
เพียงพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองซึ่งมาจากคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ผ่านความเห็นชอบของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
ก็ยังต้องมีการแก้ไขทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ “ปฏิบัติ”
ทุกคนจึงต้องรอผลจากการเลือกตั้งและแต่งตั้งเพื่อให้ได้สมาชิกรัฐสภาจำนวน 750 คนว่าจะสามารถทำให้ 500 คน หันมาร่วมมือในการงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราได้หรือไม่
นั่นก็คือ จะต้องหาอีก 250 ส.ส.มาเติมกับ 250 ส.ว.