ระหว่างกระบวนท่าไม่เอานายกรัฐมนตรี “คนนอก” ของพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ ดูเผินๆ คล้ายกับจะเป็นอย่างเดียวกัน แต่สุดท้ายปลายทางไม่เหมือนกัน
หาก นายกรัฐมนตรีคนนอก คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ตรงนี้เหมือนกัน แต่ที่ไม่เหมือนกันก็คือ พรรคเพื่อไทยนอกจากไม่เอาจริงๆ แล้วก็ไม่ได้ไม่เอาเพื่อที่คนของตนจะเขาไปสอดสวมแทน
เพราะรู้อยู่แล้วว่ายากอย่างยิ่งที่จะเป็นไปได้
ตรงกันข้าม กระบวนท่าของพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินไปในลักษณะ “ต่อรอง” เพื่อให้เปลี่ยนจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์
เท่ากับเป็นการต่อสู้ในลักษณะ “ต่อรอง”
หากมองตามสภาพความเป็นจริง ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับคสช.มิใช่ว่าผีไม่ยอมเผา เงาไม่ยอมเหยียบ
อย่างน้อยบทบาทของ “กปปส.” ด้านหลักก็มาจากพรรคประชาธิปัตย์
ไม่เพียงแต่แกนนำคือ บรรดา ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ที่ประกาศลาออกแล้วเข้าเคลื่อนไหว หากแม้กระทั่งกรรมการบริหารของพรรคก็เข้าไปร่วมเป่านกหวีด
ไม่ว่าจะเป็น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ว่าจะเป็น นายจุติ ไกรฤกษ์
กล่าวสำหรับรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 พรรคที่โดนคสช.เล่นงานหนักก็คือพรรคเพื่อไทย มิใช่พรรคประชาธิปัตย์
เพิ่งจะ 3 ปีหลังเท่านั้นที่พรรคประชาธิปัตย์โดน
เมื่อคสช.ได้คนระดับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ไปเป็นกองเชียร์อย่างเต็มที่จึงคลายความสนใจต่อพรรคประชาธิปัตย์ และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ยิ่งตอนหลังได้ “นักการเมือง” จากหลายซุ้ม
ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองเลือดดีจากนครปฐม ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองเลือดดีจากนครราชสีมา ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองเลือดดีจากสุโขทัย ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองเลือดดีจากชลบุรี
พรรคคสช.ก็เริ่มแข็งแกร่งและถึงกับอาจตัดหางปล่อยวัดพรรคประชาธิปัตย์ในสายของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ตอนนี้แหละจึงเห็นการแผลงฤทธิ์จากพรรคประชาธิปัตย์
กระบวนท่าของพรรคประชาธิปัตย์จึงแตกต่างไปจากกระบวนท่าของพรรคเพื่อไทย ที่ผีไม่ยอมเผา เงาไม่ยอมเหยียบกับพรรคคสช.อย่างแจ่มชัด
ตรงกันข้าม พรรคประชาธิปัตย์ทั้งตี ทั้งดึง
นั่นก็คือ ตีเพื่อให้ประจักษ์ในบทบาทและความหมายของพรรคประชาธิปัตย์ ดึงเพื่อสร้างโอกาสทางการเมืองเหมือนกับที่เคยได้เมื่อปี 2551
ความเป็นจริงทางการเมืองเช่นนี้คือท่วงทำนองของพรรคประชาธิปัตย์