ไม่ว่าเรื่องสนามกอล์ฟที่นครปฐม ไม่ว่าเรื่องสถานอาบอบนวด วิคตอเรีย ซีเครท กำลังจะเข้าลักษณะยุทธการ “ตีเมืองขึ้น” ตามสำนวนของตำรวจ

จึงทำให้กรณี “กำนันเป๊าะ” มากด้วย “สีสัน” ไปด้วย

พลันที่มีการโยงการเคลื่อนไหวจากสุพรรณบุรีไปยังนครราชสีมาไปยังนครปฐมไปยังสุโขทัย อุทานซึ่งดังตามมาอย่างชนิด “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์”

คือ ใครว่า “กองหนุน” หมด แทบไม่เหลือ

ตรงกันข้าม การตีเมืองขึ้นที่สุพรรณบุรี การตีเมืองขึ้นที่นครราชสีมา การตีเมืองขึ้นที่นครปฐม การตีเมืองขึ้นที่สุโขทัย กลับจะทำให้กวาดต้อน “กองหนุน” เข้ามาคึกคัก

ล้วนแต่เป็นนักการเมือง “น้ำดี” ทั้งนั้น

เมื่อนำเอาปฏิบัติการ “ตีเมืองขึ้น” ประสานเข้ากับการลงพื้นที่พร้อมกับแนวทาง “ประชารัฐ” และงบประมาณจำนวนมหาศาล

กลิ่นของการเลือกตั้งก็ย่อมโชยมา

โชยมาพร้อมกับคำประกาศที่ว่า “ผมเป็นนักการเมือง” คำประกาศที่ว่า “ผมพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรี” ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ

เพราะทั้งหมดนี้คือลักษณะของ “การหาเสียง” ชัดๆ

ลงทุนขนาดเข้าไปทำความรู้จักมักคุ้นกับควายที่กำลังเคี้ยวเอื้อง ลงทุนขนาดอุ้มไก่เข้าแนบอกสนทนาอย่างมีสันถวมิตรสนิทสนม

นี่คือลีลา “นักการเมือง” ไม่ใช่ “นักการทหาร”

เพียงแต่ที่ก่อให้เกิดอาการแหม่งๆ บ้างจากนักการเมือง “อาชีพ” ไม่ว่าจะจากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะจากพรรคประชาชนปฏิรูปก็คือ

เป้าหมายที่เป็น “นักการเมือง” นั้นแปลกๆ แปร่งๆ

หากถือตามบรรทัดฐานที่คสช.ปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 และลงมือบริภาษลากไส้ความเลวร้ายของนักการเมืองอย่างมันปากมา 3 ปีเศษ

บรรดา “เมืองขึ้น” เหล่านั้นไม่น่าเป็น “เป้าหมาย”

หากถือเอากลุ่มการเมืองและตระกูลอื้อฉาวเหล่านั้นมาเป็นฐานกำลังจะแตกต่างอะไรจากที่เคยเกิดขึ้นในยุคพรรคเสรีมนังคศิลา พรรคสหประชาไทยและพรรคสามัคคีธรรมเล่า

นี่หรือคือ การเมืองของ “นักการเมือง” รุ่นใหม่

กระนั้น เมื่อนำเอาปฏิบัติการของคสช.เข้าไปเปรียบเทียบกับเสียงเตือนในเรื่อง “กองหนุน” อันมาจากปาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์

ก็จะเห็นในความพยายามของคสช.

“กองหนุน” อย่าง พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล อาจถอยห่าง “กองหนุน” อย่าง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อาจสงบปากสงบคำเช่นเดียวกับ นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ที่ถูกปลดออกพร้อมกัน

แต่กองหนุนจาก “สุโขทัย” กลับคึกคักอย่างยิ่ง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน