ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา สมควร ย้อนกลับไปศึกษาคำของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่า “กองหนุน”

แม้บรรดาคนที่สอพลอโดยรอบจะพยายามแปลงสารให้ฟังดูแล้วเหมือนกับเป็นการเชียร์ เป็นการให้กำลังใจ

แต่หากสังเกตคุณศัพท์ตรง “แทบไม่เหลือ”

ก็จะเข้าใจอย่างชัดเจน แจ่มแจ้งว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ไม่ได้เตือนอย่างธรรมดา หากแต่เตือนอย่างเคร่งเครียด จริงจังอย่างที่สุด

เป็นการเตือนแบบ “ทหาร” ต่อ “ทหาร” ด้วยกัน

หากเป็นนักการเมืองจากคสช.ตบเท้าเข้าบ้านสี่เสา เทเวศร์ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ คงเลือกที่จะใช้คำว่า “แนวร่วม” แทนคำว่า “กองหนุน”

เพราะนี่เป็นทหารระดับ “ทหารเสือ” จากภาคตะวันออก

คำว่า “กองหนุน” สำหรับคนซึ่งรับราชการทหารมายาวนานไม่ต่ำกว่า 40-50 ปี ย่อมเข้าใจเป็นอย่างดีว่าหมายถึงอะไร

โดยเฉพาะบรรดาทหาร “นอกประจำการ”

ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ล้วนเป็นทหาร “นอกประจำการ” มิใช่หรือ

เพียงแต่เคยเป็น “ผบ.ทบ.” มาก่อนเท่านั้นเอง

ถามว่าเหตุใด พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ จึงเลือกที่จะใช้คำว่า “กองหนุน” ได้ถูกใช้ไปมากแล้ว และแทบจะไม่เหลืออยู่แล้ว

อย่าลืมว่าเป็นการพูดในเช้าวันที่ 28 ธันวาคม

อย่าลืมว่ากรณี “นาฬิกา” หรูกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวนับแต่วันที่ 4 ธันวาคม มาแล้ว และเป็นที่รู้กันว่ามีการเปิดโปงออกมามากกว่า 20 เรือน

รับรู้กันทั้ง “ใน” และ “นอก” ประเทศ

ยิ่งออกมาระบุว่า “ยืมเพื่อน” ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ใกล้เคียงกับพวกตลกคาเฟ่ ถูกล้อเลียนแม้กระทั่งในสื่อของเกาหลีใต้และญี่ปุ่น

ความฉาวโฉ่ของ “นาฬิกา” ต่างหากที่ทำให้กองหนุนแปรเป็น “กองหน่าย”

มีความเด่นชัดว่า ไม่เพียงแต่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะไม่รู้ร้อนรู้หนาว หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็พร้อมที่จะอุ้มชู “พี่ใหญ่” อย่างเต็มเปี่ยม

เป็นท่วงทำนองในแบบ “เลือดสุพรรณ”

จากเดือนธันวาคม 2560 มายังเดือนกุมภาพันธ์ 2561 กรณีของ “นาฬิกา” หรูก็ไม่ยอมจบและทำท่าว่าอาจรั้งดึงให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องพลอยเสียหายไปด้วย

เป็นความเสียหายแบบ มาด้วยกัน ไปด้วยกัน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน