กรณีของ “อุทยานราชภักดิ์” เป็นตัวอย่าง 1 ซึ่งสำคัญและควรศึกษาเพื่อทำความเข้าใจต่อกรณีของ “นาฬิกา” หรูที่กำลังอื้อฉาวในขณะนี้
เพราะว่าเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กับ “คสช.” โดยตรง
คนที่เกี่ยวกับโครงการอุทยานราชภักดิ์โดยตรง คือ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ตั้งแต่ยังดำรงตำแหน่งเป็นผบ.ทบ.กระทั่งเข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม
เหมือนกับเป็นการต้อนรับน้องใหม่หลังรัฐประหาร
แต่หากนับจากเดือนมิถุนายน 2557 ที่มีการปูดเรื่อง “อุทยานราชภักดิ์” กว่า พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร จะพ้นจากตำแหน่งก็เมื่อเดือนธันวาคม 2560
ใช้เวลายาวนานกว่า 3 ปี
เทียบชั้นระหว่าง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ถือว่าท่านหลังมีสถานะเหนือกว่าอย่างเด่นชัด
เพียงคำว่า “พี่ใหญ่” แห่ง “บูรพาพยัคฆ์” ก็เห็นแล้ว
ทั้งตำแหน่งในคสช. ทั้งตำแหน่งในครม. และเท่าที่ได้รับมอบหมายงานมาเป็นลำดับก็ต้องยอมรับว่าอยู่ในสถานะอันเป็น “พี่ใหญ่” จริงๆ
บางคนถึงกับเปรยๆ ว่า นี่คือ “หัวหน้า” ตัวจริง
การอยู่ในตำแหน่งผบ.ทบ.ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา การอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงล้วนสัมพันธ์กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
การแยก “ป.ประวิตร” ออกจาก “ป.ประยุทธ์” จึงยาก
ความพยายามของกองเชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในขณะนี้ก็คือ ความพยายามบนทิศทางที่จะรักษาอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตของคสช.
นั่นก็คือ ชีวิตของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
จึงมีความเคลื่อนไหวที่ด้าน 1 หนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างเต็มที่ มองว่าเห็นความหวังแต่เพียงหนึ่งเดียวที่จะทำให้ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” ปรากฏเป็นจริง
ด้าน 1 ก็ชี้ให้เห็นว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็น “ตัวถ่วง”
จึงเรียกร้องให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พิจารณาตัวเองเพื่อเห็นแก่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขณะเดียวกัน หาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่กระทำตามข้อเรียกร้อง
ก็เสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จัดการอย่างเฉียบขาด
หากมองย้อนกลับไปยังกรณี “อุทยานราชภักดิ์” เพื่อเปรียบเทียบกับกรณี “นาฬิกา” หรู เป็นไปได้หรือที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะกล้า
นั่นก็คือ กล้าตัดไมตรีจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
แม้ว่าการเข้าไปควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะสำคัญและทรงความหมาย แต่จะเมินเฉยต่อความรู้สึกเจ็บปวดของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้ละหรือ
เพราะสัมพันธ์ของ 2 ป.นี้เหมือน “เลือดกับเนื้อ”
