ไม่ว่าในที่สุดชะตากรรมของร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว.จะก้าวไปในทิศทางใด
แต่ก็ล้วนไม่เป็นผลดีต่อ “คสช.”
เพราะสังคมรับรู้ฤทธิ์เดชในระหว่างการพิจารณาร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาแล้วว่าส่งผลให้โรดแม็ปการเลือกตั้งต้องเลื่อน
เลื่อนจากเดือนพฤศจิกายน 2561 เป็นเดือนกุมภาพันธ์ 2562
พลันที่มองเห็นว่าร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. กับ ร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว.อาจต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ เสียงร้องอ๋อก็ประสานขึ้น
น่าจะต้องมีการ “เลื่อน” โรดแม็ปออกไปอีก
เหมือนกับสิ่งที่เรียกว่า “อภินิหารทางกฎหมาย” จะเป็นสภาพอันสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในยุคคสช.โดยเฉพาะในห้วง 4 ปีหลังรัฐประหาร
เป็นธรรมดาเหมือนกับบทสรุปเมื่อเดือนกันยายน 2558
นั่นก็คือ ปฏิบัติการในที่ประชุมสปช.เมื่อเดือนกันยายน 2558 โดยการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับของ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อันเป็นที่มาของคำว่า
“เขาอยากอยู่ยาว”
เมื่อเกิดการแปรเปลี่ยนจาก “ปฏิญญาโตเกียว” เป็น “ปฏิญญานิวยอร์ก” เป็น “ปฏิญญาทำเนียบขาว” ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากปี 2558-2561
ทุกคนก็ร้อง “อ๋อ” โดยพร้อมเพรียง
กระบวนการใช้ “อภินิหารทางกฎหมาย” ทำให้ภาพลักษณ์ของคสช.เด่นชัดขึ้นในบทสรุปของประชาชนทั้งที่เคยเป็น “กองเชียร์” และที่ไม่ได้เป็น “กองหนุน”
นั่นก็คือ เด่นชัดว่า “อยากอยู่ยาว”
ไม่ได้มาเหมือนคมช.เมื่อตอนรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 ที่มาเพียง 1 ปีแล้วก็อำลาจากไป ตรงกันข้าม คสช.อยู่มาจนถึงปี 2561
และยังไม่มีวี่แววว่าจะอำลาจากไป
ขณะเดียวกัน เด่นชัดว่า คสช.จะใช้กระบวนการเลื่อน “การเลือกตั้ง” ออกไปเรื่อยๆ เพื่อดำรงรักษาอำนาจอันตนได้มาเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
คสช.กำลังสร้างความชอบธรรมบนฐานแห่งการ “ไม่เลือกตั้ง”
จากเดือนพฤษภาคม 2557 มายังเดือนมีนาคม 2561 อำนาจจากฐานแห่งการ “ไม่เลือกตั้ง” ยังอยู่ในมือของคสช.อย่างแน่นอนและเด่นชัด
โดยที่ชาวบ้านก็ไม่รู้ว่าจะมีการเลือกตั้งเมื่อใดแน่
แม้ว่าจะมี “รัฐธรรมนูญ” แต่กระบวนการทุกอย่างก็ยังอยู่ภายใต้โครงสร้างแห่ง “มาตรา 44” และยังไม่มีการปลดล็อกให้กับ “พรรคการเมือง”
ความไม่แน่นอนกำลังกลายเป็นสภาพแน่นอนมากยิ่งขึ้น