ยิ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกมาพูดในกรณีปลด นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ตามมาด้วยการเสริมเติมโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

ยิ่งทำให้กรณีนี้เพิ่มความกระจ่าง

กระจ่างจนแทบไม่จำเป็นต้องฟังคำแถลงอันมาจาก นายสมชัย ศรีสุทธิยากร นอกจากจะมีเบื้องหลังอันวิลิศมาหรามากยิ่งกว่า

ความจริงฟังจาก 2 นักการเมืองคนสำคัญจาก 2 พรรค

นั่นก็คือ 1 นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ จากพรรคประชาธิปัตย์ และ 1 นายจาตุรนต์ ฉายแสง จากพรรคเพื่อไทย ก็จะได้คำตอบและคำอธิบายอย่างชนิดตรงเป้า

นั่นก็คือ เขาไม่อยากให้ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร พูด

หากฟังเหตุผลจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่จำเป็นต้องใช้มาตรา 44 เพราะว่า “หน่วยงานทางด้านกฎหมาย” ขอมา

ขอมาเพราะเกรงว่าจะก่อให้เกิดความสับสน

ความสับสนในที่นี้ก็มิได้เป็นเรื่องอื่นหากเป็นประเด็นในเรื่อง “การเลือกตั้ง” หากว่า นายสมชัย ศรีสุทธิยากร พูดออกมาจากสถานะแห่งความเป็นกกต.

ที่สำคัญเป็นอย่างมากคือ บทบาทของ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร

ไม่เพียงแต่ทำให้คำยืนยันจากปาก นายสมชาย แสวงการ ถูกตั้งข้อสงสัย หากแม้กระทั่งคำยืนยันจากปาก นายวิษณุ เครืองาม ก็เริ่มคลอนแคลน

เนื่องจาก นายสมชัย ศรีสุทธิยากร แม่นยิ่งกว่า

เมื่อล่วงมาถึงตอนนี้ก็ไม่ยากอีกแล้วว่าบทบาทของ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร จะมีความหมาย หรือไม่มีความหมาย มากน้อยเพียงใดในทางการเมือง

1 ความแจ่มชัดจากคำวินิจฉัยของ “ศาลรัฐธรรมนูญ”

ขณะเดียวกัน 1 ซึ่งเป็นผลสะเทือนจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คือ การเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 จะมีหรือไม่

หากมีก็แสดงว่า นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ผิดพลาด

หากการเลือกตั้งไม่สามารถดำเนินการได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ก็แสดงว่า นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ถูกต้อง

ครานี้แหละการใช้มาตรา 44 ก็จะถูกตั้งข้อสงสัย

จากนี้จึงเห็นได้ว่า การตรา “โรดแม็ป” ไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มีบทบาทและมีผลสะเทือนในทางการเมืองอย่างเด่นชัด

ประการ 1 คือ คสช.และรัฐบาลต้องปฏิบัติตาม

ประการ 1 คือ หากคสช.และรัฐบาลไม่ได้ปฏิบัติตามอย่างที่บัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ ก็จำเป็นต้องแสดงเหตุผลและแสดงความรับผิดชอบ

เป็นความรับผิดชอบต่อ “รัฐธรรมนูญ” และต่อ “ประชาชน”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน