ทันทีที่มีการขยับภายในรัฐบาล ภายในสนช.ที่จะนำร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ส่งให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยและตีความว่าขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่
สังคมนึกถึงคน 2 คน
คนหนึ่ง คือ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการคณะกรรมการการเลือกตั้ง คนหนึ่ง คือ นายสมชาย แสวงการ เลขานุการคณะกรรมาธิการประสานงานกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
2 คนมอง “ต่างมุม” กัน
แต่ภายในกระบวนการมอง “ต่างมุม” ในเรื่องการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตีความกลับมีบางอย่างอันนำไปสู่ “บทสรุป” ตรงกัน
ต้องยอมรับความแม่นยำอยู่กับ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร
ไม่เพียงแต่ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร จะให้ความเห็นว่าการส่งร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.จะมีโอกาสทำให้โรดแม็ปการเลือกตั้ง “เคลื่อน” เท่านั้น
หากยิ่งส่งร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.จะยิ่ง “เคลื่อน”
นายสมชาย แสวงการ แม้จะออกมาปกป้องว่าการส่งร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มา ส.ว.มิได้ทำให้โรดแม็ปการเลือกตั้งต้อง “เคลื่อน”
กระนั้น ก็ยังได้ระบุภายใน “แถลง” ด้วยว่า
“หากหลายฝ่ายยังห่วงว่าการไม่ยื่นตีความร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.นั้นขอให้พรรคการเมืองทุกพรรคทำเป็นสัตยาบันร่วมกันมาเลยว่า ยินยอมให้เลื่อนโรดแม็ปเลือกตั้งออกไปอีก 3 เดือน สนช.จะดำเนินการส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความทันที”
หลายฝ่ายตีความว่าเป็นการต่อรองกับ “พรรคการเมือง”
ต้องยอมรับว่าที่ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ต้องคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 4/2561 ปลดออกจากการเป็นกกต.อย่างชนิดสายฟ้าแลบก็มาจากเรื่องนี้แหละ
นั่นก็คือ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร พูดมากเกินไป
การที่ทางคสช.อาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ออกมาอย่างรีบด่วนก็เพื่อที่จะ “ปิดปาก” มิให้ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ได้แสดงความเห็นผ่านบทบาทของ “กกต.”
แต่ถามว่าหยุด นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ได้หรือไม่
แต่ถามว่าปมประเด็นที่ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ตั้งเอาไว้จากความจัดเจนในฐานะกกต.ได้ยุติหรือจบสิ้นลงไปหรือไม่
เมื่อเห็นท่าทีคสช.ท่าทีรัฐบาลล่าสุดก็ต้องได้ยากยากระดับ “ยากส์”
จากนี้เป็นต้นไปก็เป็นระยะเวลาแห่งการตรวจสอบอย่างมีนัยสำคัญในทางการเมืองมิได้เป็นการตรวจสอบ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร เท่านั้น
หากยังเป็นการตรวจสอบคสช. ตรวจสอบรัฐบาล
เพราะอะไรๆ ต่อมิอะไรที่ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ตั้งข้อสังเกตและทำนายเอาไว้ล้วนสัมพันธ์กับคสช.และรัฐบาลทั้งสิ้น