คอลัมน์ ชกไม่มีมุม
วงค์ ตาวัน
การต่อสู้ทางการเมืองของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนสีไหน ไม่ควรเกิดความสูญเสียทั้งร่างกายและชีวิต และหากเกิดขึ้น ย่อมนำมาซึ่งความเศร้าสลดสำหรับทุกฝ่าย ดังเช่น เหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ซึ่งมีผู้ชุมนุม พธม.เสียชีวิต 2 ราย
ยิ่งในเหตุการณ์สลายม็อบเสื้อแดงเมื่อเมษายน-พฤษภาคม 2553 มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดถึง 99 ศพ ยิ่งต้องเศร้าใจมากขึ้นไปอีก
เหตุการณ์ 7 ตุลาคม 51 นั้น มีการฟ้องร้องผู้นำรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐในขณะนั้น
ขณะที่เหตุการณ์ 99 ศพ ยังไม่คืบหน้าไปไหน!?
สำหรับ 7 ตุลาฯ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพิ่งอ่านคำพิพากษาไป
โดยให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสี่ นายกฯ รองนายกฯ ผบ.ตร. และผบช.น.ในขณะนั้น
ด้วยศาลพิเคราะห์ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปฏิบัติไปตามขั้นตอนของแผนกรกฎ 48 จากเบาไปหาหนักแล้ว!
ส่วนประเด็นการใช้แก๊สน้ำตา
ไม่อาจคาดเห็นได้ว่า จะก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้ชุมนุมได้
ศาลชี้ว่า จำเลยไม่ได้มีเจตนาพิเศษเพื่อให้ตำรวจไปทำร้ายผู้ชุมนุมให้ได้รับอันตรายแก่กายและเสียชีวิต
คำพิพากษาดังกล่าว มาจากการพิจารณาพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำเสนอในระหว่างการไต่สวน
เมื่อมีคำตัดสินออกมาแล้ว ทุกฝ่ายต้องเคารพ ไม่ละเมิดอำนาจศาล!
สำหรับมวลชนของพธม.ย่อมมีอารมณ์ความรู้สึกประการหนึ่ง ซึ่งเข้าใจได้และต้องเห็นใจ
แต่ขณะเดียวกัน คำพิพากษานี้ ควรนำมาศึกษาเรียนรู้ เพื่อเป็นบรรทัดฐานสำหรับการปฏิบัติต่อไป
ดังที่กล่าวกันว่า การต่อสู้คดีของพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ในฐานะผู้นำองค์กรตำรวจ รวมไปถึงพล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ในฐานะผู้นำหน่วยนครบาล ถือได้ว่าผลการต่อสู้คดี ได้นำมาซึ่งการปกป้องคุ้มครองการปฏิบัติของตำรวจ ในมาตรการควบคุมฝูงชน
แผนกรกฎยังใช้ได้ต่อไป แต่ต้องเข้มงวดในหลักเบาไปหาหนัก
แก๊สน้ำตา ก็ยังเป็นหลักปฏิบัติที่ถูกต้อง แต่อาจงดเว้นที่ผลิตในบางประเทศซึ่งเกิดข้อกังขา
แต่โดยรวมแล้ว ใช้กันทั่วโลก หลังคิดค้นแล้วว่า เป็นเครื่องมือสลายม็อบ ที่ไม่ทำให้ใครบาดเจ็บหรือตาย เป็นการคุ้มครองชีวิตผู้ชุมนุมอีกด้วย
สมควรต้องนำบรรทัดฐานนี้มาเน้นย้ำ ให้ทุกรัฐบาล ต้องใช้กำลังตำรวจปราบจลาจล พร้อมอุปกรณ์ที่เป็นไปตามหลักสากลเท่านั้น
รัฐบาลที่ไม่ใช้หลักนี้ในการสลายม็อบ ต้องมีการสอบสวนให้เป็นบรรทัดฐาน
ทุกรัฐบาลต้องใช้ตำรวจและแก๊สน้ำตา
ไม่ใช่ไปสั่งทหารและใช้กระสุนจริง ด้วย ข้ออ้างที่ยังพิสูจน์ไม่ได้!!
