“วงค์ ตาวัน”
แม้ว่าในความเป็นจริง จะรู้กันดีว่าอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกนอกประเทศไปแล้ว แต่ในทางกฎหมาย ตามพยานหลักฐานที่เป็นจริง ยังไม่ปรากฏข้อมูลใดๆ เลยว่า เดินทางออกไปอย่างไร ไปไหน และวันนี้อยู่ที่ไหน
หลังจากไม่มาฟังคำพิพากษา เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม และมีข่าวสารว่าหนีออกนอกประเทศในคืนวันที่ 23 สิงหาคม
จากนั้นทางการไทยได้ประสานข้อมูลไปยังประเทศเพื่อนบ้าน สิงคโปร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยส่งเลขพาสปอร์ตไปตรวจสอบ
ได้รับคำตอบว่า ผู้ถือพาสปอร์ตหมายเลขนี้ ไม่ได้เดินทางเข้าออกแต่อย่างใด!?
เท่ากับไม่มีหลักฐานอะไรมาชี้ว่า ยิ่งลักษณ์เดินทางออกไปไหนอย่างไร
จริงอยู่เชื่อได้ว่าออกไปแล้ว แต่ตราบใดที่ยิ่งลักษณ์ไม่เผยตัวว่าวันนี้อยู่ประเทศไหน
ตราบนั้นก็ไม่สามารถชี้อย่างเป็นทางการได้ว่า ออกไปจากไทยแล้ว!
ขณะเดียวกันเพื่อตอบโต้ข้อครหาที่ว่า คสช.เปิดทางให้หนี ด้วยไม่ต้องการให้ยิ่งลักษณ์อยู่เป็นชนวนร้อนแรงทางการเมือง
จำเป็นต้องเคลียร์ข้อครหาว่า ไม่ได้ร่วมพาหนี
ดังนั้นจึงให้ตำรวจตรวจสอบหาเส้นทางและคนพาหนี จนได้ร่องรอยรถคัมรี่ หลังคาซันรูฟ แล่นเข้าไปในสระแก้วเมื่อดึกวันที่ 23 สิงหาคม
แกะรอยจนรู้ว่ามีพ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ อนุฤทธิ์ รองผบก.น. 5 เป็นผู้ขับแถมโชคดีที่ลูกน้องของพ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ รับรถไปทำลายทิ้ง แต่ดันล่าช้า
ทีมสืบสวนจึงเปิดโฉมทีมพาหนีได้!
คำให้การของ พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์บอกให้รู้ว่า นัดพบกันที่ปากซอยวัชรพล ไปเปลี่ยนรถที่หมู่บ้านชัยพฤกษ์ ก่อนจะขับพายิ่งลักษณ์พร้อมเลขาฯ ซึ่งใส่แมสก์ดำและหมวกแก๊ป ออกจากกทม.ปลายทางอรัญประเทศ แล้วมีปิกอัพสี่ประตูมาจอดรอรับในที่มืดไปอีกทอด
จากนั้นก็ยังไม่มีร่องรอยว่าเดินทางต่อไปไหนอย่างไร
ดังนั้น พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ จึงไม่เข้าข่ายความผิดทางอาญาข้อหาพาหนี เพราะไม่ได้ส่งข้ามแดน และขณะนั้นยิ่งลักษณ์ยังไม่มีหมายจับ โดนแค่ข้อหาเรื่องใช้รถผิดกฎหมาย กับความผิดทางวินัย
ส่วนลูกพี่ของพ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ นายตำรวจใหญ่นอกราชการ ยิ่งเอาผิดอะไรไม่ได้ เอาเรื่องวินัยราชการก็ไม่ได้!
เพียงแต่การได้ตัวพ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ทำให้เห็นขั้นตอนหลบหนีในส่วนหนึ่ง ซึ่งเอาเข้าจริงๆ อาจมีคนเกี่ยวข้องแค่ 3 คน
อีก 2 คือ คนขับรถเบนซ์มาส่งที่ปากซอยวัชรพล และอีกคนที่ขับปิกอัพมารับต่อจากคัมรี่
บอกให้รู้ว่าคสช.ไม่ได้ร่วมขบวนการ
รวมทั้งการหนีไม่ได้ซับซ้อนเลย
และไม่อาจเป็นเหตุไปเอาผิดใครได้เลย!!