“วงค์ ตาวัน”
ในความเคลื่อนไหวก่อนการปรับครม. สู่ประยุทธ์ 5 ซึ่งจุดเริ่มต้นมาจากความขัดแย้งในข้อมูลแรงงานต่างด้าว เครื่องสแกนม่านตา จนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานต้องลาออกนั้น
เต็มไปด้วยเสียงเรียกร้องให้ปรับใหญ่รัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เพราะปากท้องชาวบ้าน ธุรกิจการค้า กำลังวิกฤต
พร้อมๆ กับให้ลดสัดส่วนรัฐมนตรีทหารลงไป
เลยเกิดคำถามว่า ทำไมจึงรังเกียจทหาร จากรัฐมนตรีระดับพล.อ.
อันที่จริงแล้ว ไม่มีใครรังเกียจทหาร เพราะทหารมีความสำคัญสำหรับความเป็นประเทศ
ประเทศเป็นบ้าน ทหารเป็นรั้ว!!
เพียงแต่ เมื่อมีคนบางกลุ่มดึงกองทัพมาอยู่ในพื้นที่และภารกิจที่ไม่เหมาะ ไม่ตรงความสามารถ
ถึงเวลาหนึ่ง จึงเริ่มมีเสียงเรียกร้อง ให้ทหารกลับสู่พื้นที่อันยิ่งใหญ่มีเกียรติของตนเอง
ก่อนหน้านี้ ทหารเคยเข้าสู่การเมืองและถึงจุดจบ ในยุครสช. โดยยึดอำนาจเมื่อปี 2534 แล้วพังในปี 2535 เพราะเข้ามาเป็นรัฐบาล และปราบปรามม็อบในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ
รัฐบาลอานันท์ที่เข้ามาคลายปัญหาหลังจากนั้น ออกกฎกติกาหลายอย่าง
เพื่อไม่ให้นำทหารเข้ามาเกี่ยวกับการเมืองอีก ห้ามมีนายกฯ จากคนนอก ห้ามเข้ามาปราบม็อบด้วย!!
พอปี 2549 เกิดม็อบเสื้อเหลือง ไปปลุกทหารกลับมารัฐประหารอีก เพื่อจะล้มทักษิณให้ได้
ต่อมาปี 2553 รัฐบาลอภิสิทธิ์-สุเทพ ไม่สนมติครม.อานันท์ ด้วยข้ออ้างมีก่อการร้ายในม็อบ นำทหารเข้ามาสลายม็อบอีก
ตายไป 99 ศพ ยังเป็นบาดแผลที่รุนแรงไม่สิ้นสุด โดยเฉพาะต่อคนอีสานและเหนือ
ให้ตำรวจปราบม็อบก็มีแต่กระบอง แก๊สน้ำตา ถ้าให้ทหารเข้ามาเพื่อปราบก่อการร้าย ก็กระสุนจริง
และที่ตายทั้งหมด ไม่มีก่อการร้ายแม้แต่ศพเดียว
ปี 2557 ม็อบนกหวีด ไม่เลือกหนทางยุบสภาที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เปิดให้ แต่ผลักสถานการณ์ให้ไปทางตัน ลงเอยนำมาสู่การรัฐประหารคสช. แล้วก็ดันกันต่อให้ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง
จนรัฐบาลทหารปกครองประเทศมาแล้ว 3 ปี และอีกปีสองปีก่อนเลือกตั้ง!
ตอนนี้เปิดหน้าชัดเจนว่า เตรียมจะกลับมาอีกหลัง เลือกตั้ง เพราะเปิดช่องนายกฯคนนอกไว้แล้ว หลังจากที่เคยช่วยกันปิดช่องนี้เมื่อพฤษภาฯ 35 ไปแล้ว
ไม่มีใครรังเกียจทหาร มีแต่เสียงเตือนด้วยความห่วงใยว่าผิดที่ผิดทาง
แต่กลับถลำลึกไปเรื่อยๆ คงฟังแต่เสียงยุของไอ้ห้อย ไอ้โหน
ที่รอนั่งเก้าอี้ส.ว.และรอของดีในการตั้งพรรคทหาร!